เมื่อจิตได้พิจารณาอสุภะอสุภังหลายครั้งหลายหน จนเกิดความชำนิชำนาญ พิจารณาคล่องแคล่วว่องไวทั้งรูปภายนอกทั้งรูปภายใน จะพิจารณาให้เป็นอย่างไรก็เป็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วจิตก็จะรวมตัวเข้ามาสู่อสุภะภายใน และจะเห็นโทษแห่งอสุภะที่ตนวาดภาพไว้นั้นว่าเป็นเรื่องมายาประเภทหนึ่ง แล้วปล่อยวางทั้งสองเงื่อน คือเงื่อนอสุภะและเงื่อนสุภะ
ทั้งสุภะทั้งอสุภะสองประเภทนี้ เป็นสัญญาคู่เคียงกันกับเรื่องของราคะ เมื่อพิจารณาเข้าใจทั้งสองเงื่อนนี้เต็มที่แล้ว คำว่าสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ คำว่าอสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไม่ได้ ผู้ที่ให้ความหมายว่าเป็นสุภะก็ดี อสุกะก็ดี ก็คือใจ ก็คือสัญญา สัญญาก็รู้เท่าแล้วว่าเป็นตัวหมาย เห็นโทษแห่งตัวหมายนี้แล้ว ตัวหมายนี้ก็ไม่สามารถที่จะหมายออกไปให้ใจติดและยึดถือได้อีก
ประวัติและปฏิปทา
พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (๑๒ สิงหาคม ๒๔๕๖ - ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔) วัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นามเดิม บัว โลหิตดี เป็นพระมหาเถระฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานผู้มีปฏิปทาที่เด็ดเดี่ยวจริงจัง ตรงไปตรงมา มีความเพียรเป็นเลิศ ยอมสละชีวิตเพื่อธรรม ยอดกตัญญู และสร้างคุณูประโยชน์ให้แก่หมู่คณะ พระพุทธศาสนา และประเทศชาติ อันหาที่เปรียบไม่ได้ ตัวท่านเองได้รับการอบรมธรรมปฏิบัติจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต โดยตรง และเป็นที่ยอมรับกันในสายพระธุดงคกรรมฐานว่า เป็นผู้ที่มีปฏิปทาและข้อวัตรที่ใกล้เคียง และเป็นหนึ่งในธรรมทายาทสำคัญของหลวงปู่มั่น
เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี พระอาจารย์มหาบัวได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในฝ่ายธรรมยุต ตามคำขอร้องของโยมบิดามารดา ณ วัดโยธานิมิตร จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ญาณสมฺปนฺโน” แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยญาณหยั่งรู้
พระอาจารย์มหาบัวเป็นผู้มีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวมาตั้งแต่สมัยฆราวาส เมื่อมาบวชก็ตั้งใจบวชเพื่อบุญกุศลคุณงามความดีอย่างแท้จริง และได้รักษาข้อวัตรและศีลของสมณะอย่างเคร่งครัด เมื่อตั้งใจว่าจะเรียนพระปริยัติจนจบเปรียญธรรม ๓ ประโยค ท่านก็ทำได้ตามสัจจะที่ตั้งไว้ ช่วงที่ศึกษาปริยัติอยู่นี้เอง ท่านได้มีโอกาสเรียนรู้ประวัติพระอริยเจ้าต่างๆ ซึ่งออกบวชแล้วพากันบำเพ็ญสมณธรรมในป่าจนได้เป็นพระอรหันต์ ท่านเองก็อยากที่จะพ้นจากทุกข์ให้ได้ในชาตินี้เช่นกัน จึงมีใจเปลี่ยนมาฝึกปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริงจัง
ในภาคปฏิบัติ ท่านเริ่มต้นด้วยการฝึกนั่งสมาธิภาวนาและเดินจงกรม โดยเร่งทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืนจนจิตได้รับความสงบในฌาน แต่เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีกิจอื่นต้องทำ ผลความสงบจากสมาธิก็เสื่อมลง ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ โดยเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์และจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่จังหวัดสกลนคร
ในช่วงที่พระอาจารย์มหาบัวติดตามหลวงปู่มั่นเป็นระยะเวลา ๘ ปีนี้ ท่านได้น้อมรับอุบายการปฏิบัติต่างๆ ด้วยความเคารพยิ่งในองค์หลวงปู่ และได้หักโหมเร่งทำความเพียรแบบไม่คิดชีวิต โดยมีช่วงงดอาหารและนั่งสมาธิภาวนาเนสัชชิกตลอดคืนเป็นเวลาหลายๆ วันติดกัน ซึ่งเมื่อได้รับอุบายการภาวนาที่ถูกต้องและมีหลวงปู่มั่นแนะนำแก้ไขให้โดยตลอด จิตใจท่านก็ค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ แม้จะมีช่วงที่ท่านติดในสมาธิความสงบอยู่ ๕ ปี หลวงปู่มั่นก็ให้อุบายตักเตือนจนท่านสามารถออกมาพิจารณาทางปัญญาได้ จนจิตใจของท่านบริสุทธิ์ขึ้นตามวาระ จากการพิจารณาวางกาย เวทนา และอุปาทานความยึดมั่นเรื่องสัญญาในสุภะและอสุภะ
แม้ว่าหลวงปู่มั่นได้ละสังขารไป พระอาจารย์มหาบัวก็ไม่ได้ย่อหย่อนความเพียรลง กลับแสวงหาที่วิเวกสันโดษและเร่งปฏิบัติมากยิ่งขึ้น จนท้ายที่สุดสามารถเข้าถึงมหาสติ มหาปัญญา ที่ละความหลงของใจ คือ “อวิชชา” ตัวสุดท้ายที่เป็นเหตุให้เกิดวัฏจักรของจิตลงได้สิ้นเชิง ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓
เมื่อพระอาจารย์มหาบัวได้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนบริบูรณ์แล้วทุกประการ ท่านก็อยู่ด้วยวิหารธรรมตามอริยประเพณี และมุ่งมั่นทำประโยชน์แก่โลกต่อไป พระอาจารย์มหาบัวเป็นพระผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ มีไหวพริบฉลาดในการแสดงธรรมและแก้ไขปัญหาที่ติดขัดในการภาวนาขั้นสูงได้อย่างหาผู้ใดเปรียบได้ยาก ได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสมากมาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ จนได้ถึงคุณธรรมอันควรตามบารมีของแต่ละท่าน ลูกศิษย์หลายองค์ก็ได้ออกไปตั้งวัดกรรมฐานทั่วประเทศไทยและในหลายประเทศทั่วโลก นับเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก
ด้านการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ท่านได้สงเคราะห์โรงพยาบาล สถานศึกษา ส่วนราชการ ผู้ด้อยโอกาส บุคคลผู้ประสบทุกข์ภัยต่างๆ และด้านอื่นๆ อีกมากมายนับรวมเป็นมูลค่าไม่ได้ ด้านการเผยแผ่ธรรม ท่านมีผลงานการก่อตั้งมูลนิธิเสียงธรรมเพื่อประชาชนฯ การแสดงพระธรรมเทศนา และเขียนหนังสือธรรมะมากมาย ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างประเทศหลายภาษา จึงนับว่าพระอาจารย์มหาบัว เป็นยอดพระ “ผู้ปฏิบัติตน” และ “ผู้ให้” คู่ควรแก่การเคารพกราบไหว้อย่างแท้จริง