ความสงบของสมาธิ ความสงบในฌาน ไม่เหมือนกันกับความดับคือนิโรธนี้แต่อย่างใด
เพราะความสงบในสมาธิในระดับไหนก็ตาม ยังมีวิญญาณ การรับรู้ของสติอยู่นั่นเอง
ส่วนนิโรธ ความดับทุกข์นี้ ไม่มีวิญญาณการรับรู้ในสิ่งใดๆ อะไรทั้งสิ้น นั่นคือวิญญาณการรู้ไม่มีในสิ่งใดๆ
ในขณะที่มีความดับทุกข์อยู่นั้น จะมีความรู้อีกอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า รู้ใต้สำนึก มีความละเอียดอ่อนมาก แต่มิใช่ความรู้ที่เกิดจากวิญญาณการรับรู้แต่อย่างใด มิใช่ความรู้ที่เกิดจากรูปนามแต่อย่างใด
เป็นรู้ที่ไม่มีในสมมติ แต่เป็นความรู้เหนือสมมติ เป็นความรู้ไม่มีนิมิตหมายในสมมติใดๆ ไม่สามารถอธิบายให้เป็นไปในสมมติได้ เป็นรู้ที่มีความโดดเด่นอยู่เฉพาะรู้เท่านั้น
ความรู้นี้เหมือนไม่มีคุณค่าอะไร ไม่ไปเกาะติด อยู่ในสิ่งใดๆ เป็นรู้ไม่มีในสมมติที่จะอธิบายได้
หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
เกิด ณ บ้านหนองค้อ ตำบลบัวค้อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นบุตรของ นายอุทธา และ นางจันทร์ นนฤาชา เป็นบุตรคนที่ ๕ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๑๐ คน
ในช่วงวัยเด็ก มีนิสัยแปลกหลายอย่าง คือไม่ยอมกินอาหารร่วมสำรับกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่กินอาหารดิบทุกชนิดและมังสะ ๑๐ อย่าง เมื่อเอาสิ่งเหล่านี้เข้าในปากก็จะเกิดอาเจียนทันที นิสัยอย่างนี้มีประจำตัว ถึงจะโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้วก็ยังเป็นนิสัยอย่างนี้ตลอดมา
เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ พ่อแม่ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านหนองแวง อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ช่วยพ่อแม่ในการทำไร่ทำนาและเลี้ยงควายตามประสาเด็กบ้านนอก ตอนเรียนได้ตั้งให้เป็นหัวหน้าในชั้นเรียนทุกชั้นไป เมื่อขึ้นชั้นประถมปีที่ ๔ จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ช่วยสอนนักเรียน และหัวหน้านักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนนั้น ท่านเป็นที่ยอมรับของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เพราะมีความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนๆ ไม่ลักของเพื่อน ครูอยากให้เด็กชายทูลไปเรียนต่อที่จังหวัด แต่พ่อแม่ยังไม่พร้อม จึงหมดโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ทำให้เรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่ ๔ เท่านั้น ที่โรงเรียนบ้านหนองแวง
ในช่วงอายุ ๑๑ ขวบ ไปเลี้ยงวัวคนเดียว บริเวณที่เรียกกันว่า นาหนองจาน เกิดความอัศจรรย์ขึ้นในตัวเป็นอย่างมาก ได้นอนเล่นอยู่ใต้ร่มไม้ตามลำพัง ใช้สายตาเพ่งดูใบไม้เล่นอยู่ ในขณะที่เพ่งดูอยู่นั้น เกิดเห็นใบไม้นั้นชัดเจน สายตาและใจได้จดจ่อดูอยู่กับใบไม้นั้นไม่กะพริบตา ในขณะที่เพ่งดูใบไม้นั้นมีความเบากายเบาใจผิดปกติ มีอาการวูบวาบเกิดขึ้นภายในใจ แล้วมีแสงสว่างพุ่งออกมารอบตัวเอง แล้วขยายตัวออกไปกว้างไกลมาก เมื่อคิดว่าอยากเห็นของสิ่งใดอยู่ในที่ใด กำหนดจิตไปดูก็จะปรากฏเห็นของสิ่งนั้นทั้งหมด อาการที่เกิดขึ้นอย่างนี้จะเป็นอยู่ในช่วงวัยเด็ก เพราะเด็กยังไม่มีอารมณ์เกี่ยวกับกามคุณ ใจยังไม่มีความเศร้าหมอง
หลวงพ่อได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง บวชตามประเพณีนิยมเท่านั้น เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือบวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ ในช่วงที่บวชเป็นสามเณรกำลังศึกษาในปริยัติธรรม และได้รู้จักพระธรรมยุต มีนามว่าพระอาจารย์สม ท่านได้มาเยี่ยมบ้าน และได้พักอยู่ในวัดบ้านหนองแวง ท่านได้ปรนนิบัติพระอาจารย์ด้วยการรับบาตรและล้างบาตรให้ท่านทุกวัน พระอาจารย์สอนให้นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านอยู่มากทีเดียว เพราะมีความสำรวมดี มีกิริยา วาจาที่อ่อนโยน และยังฉันมื้อเดียวด้วย จึงเป็นจุดเริ่มแรกที่เกิดมีความฝังใจในพระกรรมฐาน ในช่วงบวชเป็นสามเณรได้มีบททดสอบความตั้งใจ ความอดทน ไม่ว่าจะเดินจงกรมในที่มืดที่น่ากลัว การเดินธุดงค์ทางไกล ต่อสู้กับความหิว ความเหนื่อยล้า ท่านมีอุบายในการสอนใจคือการตั้งสัจจะ
อายุ ๑๘ ปี ได้เดินทางร่วมกับกองคาราวานไปกับพี่ชายและเพื่อนๆ ไปขายควายไทย เดินทางใช้เวลานาน ๔ เดือน ท่านมีอายุน้อยที่สุด ได้รับยกย่องจากหมู่คณะให้เป็นหัวหน้า เรียกว่า “นายฮ้อยเซียงทูล” ด้วยความเป็นคนขยันทำมาหากิน ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย พอหมดหน้านาก็ขายยาสมุนไพร อาศัยเรียนรู้จากบิดา ซึ่งเป็นผู้ชำนาญเรื่องยาสมุนไพรรักษาคนได้ดี ท่านจึงมีความรอบรู้ด้านสมุนไพรเป็นอย่างดี
เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี บวชเป็นพระบ้าน ที่วัดไชยนาถวราราม เป็นการบวชตามประเพณี การศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปตามหลักสูตรที่วางเอาไว้ แต่ไม่มีครูอาจารย์องค์ใดพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม ท่านเป็นผู้มีนิสัยอ่อยโยน สุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตน มีความสำรวมมาก ที่วัดไชยวนาราม ท่านยังมีหน้าที่เป็นครูสอนภาษาธรรม ภาษาขอม และภาษาลาว ให้แก่พระเณรภายในวัดอีกด้วย
หลวงพ่อมีความสามารถคิดสูตรในการดีดลูกคิด มีการแข่งขันการดีดลูกคิด ท่านชนะการแข่งขัน จนมีคนมาทาบทามให้ไปทำงานที่โรงงานน้ำตาลหนองหลัก ท่านจึงได้ลาสิกขาเพื่อออกไปทำงานตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อลาออกจากโรงงาน ได้เก็บรวบรวมเงินไว้ซื้อที่ดิน ๖๐๐ ไร่ ที่ดงไม้เรียว อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในวันหนึ่ง มีเพื่อนคนงานถามถึงครอบครัวของท่าน ก็บอกว่ายังไม่มี เหตุที่ไม่ยอมมีครอบครัว เนื่องจากสาเหตุใดก็อธิบายให้เพื่อนๆ ฟังว่า ยังไม่พบผู้หญิงที่ถูกใจ ผู้หญิงที่ถูกใจนั้นคือเป็นผู้ไม่กินอาหารดิบที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และเป็นผู้มีศีล ๕ ประจำตัว
วันหนึ่งท่านได้ไปวัดในวันพระ ได้รับฟังคติธรรมเรื่องเกิด-ดับจากหลวงพ่อบุญมา ท่านได้เกิดความซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ใจมีความเบิกบานจนบอกไม่ถูก เหมือนใจได้รู้เรื่องการเกิดดับนี้ทั้งหมด ความรู้เห็นในสิ่งที่เกิดดับก็เริ่มกระจ่าง ในช่วงขณะที่ทำงานอยู่นั้น ก็ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่องการเกิดดับอยู่เสมอ ทำงานไปด้วยพิจารณาการเกิดดับไปด้วย ทำให้จิตมีความเพลิดเพลินไปในตัว หาอุบายธรรมต่างๆ มาสอนตัวเองอยู่เสมอ
ในช่วงนั้นท่านใช้ปัญญาพิจารณาในวัตถุสมบัติ ก็สังเกตใจ ตัวเองอยู่เสมอว่า ใจเรามีความยินดีกับวัตถุสมบัติอะไรบ้าง ดูผิวเผินปรากฏว่า ใจไม่มีความยินดียึดติดอยู่กับวัตถุสมบัติอะไรเลย แต่ในส่วนลึกของใจนั้นยังมีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ แต่ก็นึกหาในสิ่งนั้นไม่ได้ว่าหลงติดอยู่ในของสิ่งใด
ในวันต่อมา ได้เดินไปดูสิ่งที่ปลูกเอาไว้ บังเอิญไปพบต้นมะม่วงที่ปลูกเอาไว้ พอสายตามองเห็นเท่านั้น ก็เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่า ความดึงดูดกันในระหว่างใจกับต้นมะม่วงนั้นผิดปกติมาก เกิดความยินดีความยึดมั่นในต้นมะม่วงนั้นอย่างเห็นได้ชัด จึงใช้ปัญญาพิจารณาต้นมะม่วงนั้นลงสู่การเกิดดับและไตรลักษณ์อย่างจริงจัง แล้วจึง โอปนยิโก น้อมต้นมะม่วงนั้นเข้ามาหาตัวเอง และพิจารณาตัวเอง คือ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่ามีการเกิดดับเหมือนต้นมะม่วงนี้ และใช้ปัญญาพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกายให้เป็นไปตามสามัญลักษณะธาตุ เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาอย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ อยู่ ใจก็เกิดความรู้เห็นเป็นไปตามหลักความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาและก็ดับไปเป็นธรรมดา
ต่อมาในวันที่สอง ก็ใช้ปัญญาพิจารณาต้นมะม่วงอีกต้นหนึ่ง ใจยังมีความยึดติดอย่างเหนียวแน่นตามเดิม ก็ใช้ปัญญาพิจารณา และได้สังเกตดูใจตัวเองไปพร้อมๆ กันว่ามีความละเอียดมาก จึงได้รู้เห็นการเกิดดับของต้นมะม่วงและธาตุ ๔ ของตัวเองได้อย่างชัดเจน เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืน ก็ได้รู้เห็นเป็นไปตามหลักความเป็นจริงว่า “ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และสิ่งนั้นก็ย่อมดับไปด้วยเหตุปัจจัยในตัวมันเอง” ในขณะนั้น กระแสแห่งความยึดถือของใจก็ได้พังทลายสูญหายออกไปจากใจในชั่วพริบตา จึงได้รู้ตัวเองว่าอยู่ในฐานะอย่างไร
หลวงพ่อได้อุปสมบทในธรรมยุตนิกาย เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ขณะอายุย่างเข้า ๒๗ ปี ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี มีพระธรรมเจดีย์ (จูม) พนฺธุโล เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้ตั้ง ฉายาให้ว่า “ขิปฺปปญฺโญ” แล้วก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขมาวนาราม บ้านโนนสมบูรณ์ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
การออกบวชในครั้งนี้ ตั้งใจเอาไว้อย่างสูงมาก เพราะได้มาพิจารณา ความเป็นอยู่ของฆราวาสว่าเป็นอุปสรรคมากในการที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในธรรมระดับสูง เพราะภาระของฆราวาสมีปัญหาในการรับผิดชอบมากมาย ไม่มีอิสระที่จะภาวนาปฏิบัติให้ต่อเนื่องกันได้ และความมั่นใจในตัวเองนั้นสูงมาก คือชีวิตเราทั้งชาติจะมอบไว้กับเพศนักบวชนี้ไปจนตลอดวันตาย และมีอุบายสอนใจตัวเองอยู่เสมอว่า “วันนี้เราจะได้บวชเป็นพระอยู่แล้ว การบวชเป็นพระของเราในครั้งนี้ เราบวชทั้งกาย และบวชทั้งใจ ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพื่อทำประโยชน์ตนให้ถึงพร้อมตามที่เราได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ให้สมบูรณ์ แล้วจะได้ทำประโยชน์ท่านที่เป็นส่วนรวมต่อไป”
ช่วงแรกที่ออกปฏิบัติภาวนานั้น ท่านได้จาริกบำเพ็ญสมณธรรมไปยังสถานที่สัปปายะหลายแห่งในภาคอีสานและภาคใต้
ในพรรษาที่ ๘ พ.ศ. ๒๕๑๑ หลวงพ่อได้เข้ามาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำกลองเพล ในขณะที่อยู่ที่นั่น ท่านภาวนาปฏิบัติดีมาก ในวันหนึ่ง ได้ไปขอคำปรึกษาจากหลวงปู่ขาวเรื่องสถานที่ที่จะไปภาวนา ว่าที่ไหนมีความสะดวกในการภาวนา หลวงปู่ก็แนะนำว่าที่ภาวนาดีที่สุดคือไปภาวนาทางภาคเหนือ เพราะภาคเหนือไม่มีคนไปมาหาสู่จุ้นจ้านเหมือนภาคอีสาน
เมื่อออกพรรษาแล้ว กราบลาหลวงปู่ขาว เดินทางไปปฏิบัติภาวนาทางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับพระอาจารย์ขาน านวโร และพระเณรอื่นๆ รวมทั้งหมด ๕ รูป เมื่อมาถึงท่านก็แยกย้ายจากหมู่คณะไปพักภาวนาปฏิบัติ ณ บ้านป่าลัน ในวันหนึ่ง เวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเย็น ได้ออกมานั่งพักที่ระเบียงกุฏิ มองไปเห็นเครือตูดหมูตูดหมา (เครือกระพังโหม) พุ่มหนึ่งเกิดขึ้นข้างทางเดินจงกรม ซึ่งแต่ก่อนเคยให้เณรเอาออกมาแล้วสองครั้ง แต่ก็ได้เกิดขึ้นมาในที่เดิมอีก ก็เอามาเป็นอุบายของปัญญาทันทีว่า เครือตูดหมูตูดหมานั้นก็เหมือนกันกับตัวเราที่เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เมื่อใดได้ขุดเอาหัวเครือตูดหมูตูดหมาขึ้นมาจากพื้นดินได้แล้ว ตากแดดให้แห้ง หรือเอาไฟเผาให้ไหม้เสีย เหตุปัจจัยที่จะทำให้เครือตูดหมูตูดหมานั้นเกิดขึ้นอีกเป็นอันไม่มีนี้ฉันใด ใจที่ไปก่อเอาภพชาตินั้น ก็เพราะใจยังมีกิเลส ตัณหา อวิชชา พาให้เป็นไป เมื่อใดที่ได้ทำลายกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจได้แล้ว ชาติภพที่เกิดขึ้นมาอีกจะมีมาจากที่ไหน ในขณะนั้น ลักษณะของใจท่านมีความว่างไปเสียทั้งหมด ไม่มีสถานที่ใดในภพทั้งสามมีความยึดถือผูกพัน ในช่วงนั้น สติปัญญามีความกล้าหาญมาก จากนั้นก็ลงสู่ทางเดินจงกรม ใช้ปัญญาพิจารณาในเรื่อง อัตตาตัวตน ที่มีอยู่ พิจารณาลงไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างเฉียบขาด
การยกเอาต้นเครือกระพังโหมมาเป็นอุบายในการใช้ปัญญาพิจารณาในครั้งนั้น รู้เห็นในสัจธรรมที่เกิดขึ้นดับไปทั้งภายนอก ภายใน ใกล้ไกล หยาบละเอียด จะเกิดความแยบคายหายสงสัยไปทั้งหมด จึงเป็นภาวนามยปัญญา หรือวิปัสสนาญาณ เป็นปัญญาที่ตัดกระแสแห่งราคะ โทสะ โมหะ ให้หมดไป เป็นปัญญาที่ข้ามกระแสแห่งความรัก ความยินดี ในกามคุณ เป็นปัญญาที่พาให้พ้นกระแสโลก คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก และเป็นปัญญาที่จะทำให้พบกระแสธรรมอย่างสมบูรณ์ เป็นปัญญาที่ทำลายตัวสมุทัย คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา ให้หมดไปจากใจอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นนิโรธที่ทำให้แจ้งแล้วในสรรพสังขารทั้งหลาย ใจไม่มีความเห็นผิดลุ่มหลงในภพทั้งสามอีกต่อไป
เมื่อออกพรรษาแล้วก็กลับวัดถ้ำกองเพล หลวงปู่ขาวได้ถามเรื่องผลของการภาวนาก็จะเล่าถวายผลของการปฏิบัติให้ท่านฟัง เมื่อเล่าถวายเสร็จแล้ว หลวงปู่ท่านก็พูดว่าผลของการปฏิบัติอย่างนี้ น้อยองค์นักที่จะเป็นไปได้ ผมก็เป็นมาอย่างนี้เหมือนกัน ผลของการปฏิบัติที่เป็นของจริง ไม่ต้องพูดกันมาก เมื่อพูดกันเพียงประโยคแรกก็รู้ความหมายทันที ทุกวันนี้มีผู้รู้ผลของการปฏิบัติน้อยมาก
หลักจากนั้น หลวงพ่อจะไปมาระหว่างภาคเหนือกับภาคอีสาน มากราบเยี่ยมและสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านเคารพนับถือ
จนพรรษาที่ ๒๒ เมื่อหลวงพ่อทราบข่าวว่าหลวงปู่ขาว อาพาธหนัก ท่านจึงกลับไปเยี่ยมและอุปัฏฐากหลวงปู่ที่วัดถ้ำกลองเพล ในช่วงนี้หลวงพ่อได้ไปช่วยออกแบบและสร้างศาลาเมตตาอนาลโย จนกระทั่งหลวงปู่ขาวละสังขาร ท่านก็ได้เป็นหลักในการจัดเตรียมงานพระราชเพลิงศพของหลวงปู่
หลังจากเสร็จงานพระราชเพลิงศพ ญาติโยมได้นิมนต์ท่านให้ไปอยู่ที่วัดอภัยดำรงธรรม ท่านพักอยู่ ๑ พรรษา หลวงพ่อมีความตั้งใจจะหาที่สร้างวัดเอง ในขณะนั้นท่านไปสำรวจพื้นที่สร้างวัดอยู่หลายแห่ง บริเวณผาแดง บ้านนาข่า และมีพื้นที่ที่เสนอมาอีก ๓ แห่ง คือ แถบบริเวณอำเภอน้ำโสม อำเภอเพ็ญ และบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ ในช่วงนั้นออกพรรษา ท่านได้ลงมาจากวัดอภัยดำรงธรรม มาพักอยู่ที่วัดอรัญญิกาวาส ท่านจึงมาสำรวจที่บ้านค้อเป็นที่แรก พอมาเห็น ท่านก็ตัดสินใจเลือกพื้นที่นี้เป็นที่สร้างและพัฒนาวัดต่อมา
หลวงพ่อเป็นผู้ที่มีความสามารถมากมายหลายด้าน อาทิ เป็นพระนักเทศน์ นักเขียน นักประพันธ์ นักออกแบบ วิศวกรรม เป็นช่างไม้ ช่างปูน ช่างก่อสร้าง ช่างแกะสลักพระ ผู้สร้างละคร ผู้เขียนบทละคร เป็นผู้กำกับ เป็นนักแสดง เป็นหมอยา
หลวงพ่อจะมีวิธีการให้ลูกศิษย์และญาติโยม สร้างบุญบารมีในหลายรูปแบบ ท่านจะเป็นผู้ริเริ่มสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อเป็นอุบายให้ลูกศิษย์ได้สร้างบุญบารมีให้กับตนเองให้มาก ให้คนทุกระดับมีโอกาส เช่น ชาวบ้านไม่มีปัจจัยจำนวนมาก ก็ให้มาเอาบุญด้วยกำลังแรงกาย มาช่วยทำงานที่วัด ดูแลวัด พัฒนาวัด และเมื่อมีโอกาสก็สอดแทรกการคิดพิจารณาธรรมในขณะทำงาน บุคคลใดมีกำลังทรัพย์มาก มีศรัทธามากก็พาทำงานใหญ่ๆ สร้างศาลา เจดีย์ อาคารปฏิบัติธรรม พิพิธภัณฑ์ พระพุทธรูปแกะสลัก พิมพ์หนังสือธรรมะ และอื่นๆ มีมากมาย ส่วนบางกลุ่มชอบมาถือศีลภาวนา ปฏิบัติธรรม ท่านก็จัดให้มีเทศกาลสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ ให้มีการถือศีล ฟังธรรมเทศนา ออกโรงทาน ทั้งยังเปิดโอกาสให้กลุ่มเยาวชนและประชาชนทั่วไป มาแสดงงานอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอีสาน เพื่อเป็นสื่อที่จะดึงคนเข้าวัด เพื่อสร้างบารมีให้กับตนเองให้มากที่สุดทุกวิธีทาง รวมทั้งให้หน่วยราชการ และภาคเอกชนเข้ามามีส่วนรวมในการจัดเตรียมงานต่างๆ ด้วย หลวงพ่อได้สร้างผลงานต่างๆ ไว้มากมายให้กับพระพุทธศาสนา
ในช่วงต้นปี ๒๕๕๑ หลวงพ่อเริ่มมีอาการปวดเมื่อตามตัว เบื่ออาหาร เหนื่อย พูดเสียงเบา และพบมีก้อนเนื้อที่สะบักขวา มีขนาดโตขึ้นจนทำให้ปวดมาก แขนขวาอ่อนแรง ได้เข้าตรวจและรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๑ แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็น Adenocarcinoma ซึ่งแพทย์สรุปว่าเป็นเนื้องอกที่ปอดและได้แพร่กระจายไปที่กระดูก แพทย์ได้ทำการฉายรังสีเพื่อบรรเทาอาการปวด ได้กลับมาพักรักษาตัวที่วัดป่าบ้านค้อ และได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวัฒนา จ.อุดรธานี เนื่องจากปอดติดเชื้อ จากนั้นก็ได้กลับไปรักษาตัวที่วัดป่าบ้านค้อแบบประคับประคองตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ โดยมีแพทย์โรงพยาบาลทางศิริราช มาดูแลเป็นระยะๆ มีแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลต่างๆ ผลัดเปลี่ยนมาเฝ้าดูแลอาการหลวงพ่อตลอดเวลา จนกระทั่งเย็นวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หลวงพ่อได้นอนหลับสนิทไม่มีอาการปวด ความดันโลหิตเริ่มลดลงเรื่อยๆ แพทย์ที่เฝ้าดูแลอาการได้ให้น้ำเกลือและยาปรับความดันโลหิตทางเส้นเลือด หลวงพ่อมีความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอและลดลงเรื่อยๆ ชีพจรเต้นช้าลง จนกระทั่งเวลา ๐๔.๔๐ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ หลวงพ่อหัวใจก็หยุดเต้น ท่านได้ละสังขารด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุได้ ๗๓ ปี ๕ เดือน รวม ๔๘ พรรษา