ที่เราทั้งหลายต้องการความสุขก็เพื่อให้ดับทุกข์ เพื่อระงับทุกข์ เพื่อบรรเทาทุกข์นี่เอง ทุกข์ที่มีอยู่ตรงไหนเราก็พยายามหาความสุขเพื่อมาต่อรองกับทุกข์ ให้มันเบาบางเพื่อให้มันสงบระงับไป
ถ้าทุกข์ไม่มีล่ะ ความสุขก็ไม่จำเป็น เพราะธรรมทั้งหลายเป็นคู่กันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นใน “สัจจะ” ความจริง ที่พระพุทธเจ้าที่พระองค์พบเรื่อง “ทุกข์” ท่านจึงสอนให้รู้ด้วย “ปริญเญยธรรม” รู้ทั่วถึง รู้รอบคอบ รู้อย่าให้มันมีเศษเหลือ ทุกข์มีประมาณเท่าไร ให้รู้ว่ากำหนดรู้ทั้งหมดทุกข์ก็เป็นของจริง เป็นสัจจะในส่วนของทุกข์
แต่ทุกข์เหล่านั้นไม่ใช่เป็นของที่ธาตุแท้ สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมันมาจาก “เหตุ” คือ “สมุทัย”
หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
หลวงปู่สุวัจน์ มีชาติกำเนิดในสกุล “ทองศรี” ท่านมีนามเดิมว่า “สุวัจน์” เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ณ ตำบลตากูก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โยมบิดาชื่อ “บุตร” โยมมารดาชื่อ “กึ่ง” ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน โดยมีพี่ชาย ๒ คน และน้องสาว ๒ คน
เมื่ออายุถึงเกณฑ์ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก จนจบชั้นประถมบริบูรณ์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียนในสมัยนั้น และท่านได้อยู่ช่วยงานด้านเกษตรกรรมร่วมกับบิดามารดา และพี่ ๆ น้อง ๆ นอกจากนั้น ท่านได้มีโอกาสเรียนวิชาชีพกับช่างทองจนมีความรู้พอประกอบอาชีพได้
ด้วยจิตใจที่ฝักใฝ่ทางธรรมและรักในเพศบรรพชิตมาตั้งแต่เป็นเด็ก ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๙ ปี ท่านก็ได้ขออนุญาตบิดามารดา เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร โดยเข้าพิธีบรรพชา ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก นั้นเอง ท่านได้ตั้งใจศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรม จนเมื่ออายุใกล้ครบบวช ซึ่งแม้ว่าการปฏิบัติธรรมของท่านในช่วงที่เป็นสามเณรอยู่นี้จะไม่นานนัก แต่ความศรัทธาต่อศาสนธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้หยั่งลงลึกในจิตใจท่าน และเพียงพอที่จะเกิดเป็นปณิธานภายในใจท่านว่า อย่างไรเสียท่านต้องอุปสมบท เพื่อประพฤติธรรมในสมณเพศนี้สืบไป ดังนั้นท่านจึงได้ของอนุญาตโยมบิดามารดาเพื่ออุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ไม่ขัดข้องอย่างไรก็ดี ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวพอดี ประกอบกับเพื่อจะได้จัดการในเรื่องต่าง ๆ ก่อนที่จะอุปสมบท ท่านจึงได้ลาสิกขาบทจากสามเณรเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ หลังจากที่ท่านได้จัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกอบกับท่านมีอายุครบ ๒๐ ปีท่านจึงได้เข้าพิธีอุปสมบท อยู่ในภิกษุภาวะสมความตั้งใจ ณ วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก ซึ่งเป็นวัดมหานิกายที่ท่านเคยบรรพชาเป็นสามเณร ท่านได้รับฉายาว่า “สุวโจ” โดยมี พระครูธรรมทัศน์พิมล (ด้น) เจ้าอาวาสวัดศาลาลอย (เมื่อครั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เคลือบ วัดดาวรุ่ง บ้านขาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระอาจารย์อุเทน วัดกระพุมรัตน์ บ้านตากูก เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากที่ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ในพรรษาแรกนั้นเอง ได้มีชาวบ้านบุแกรง อำเภอท่าตูม (ปัจจุบันคืออำเภอจอมพระ) จังหวัดสุรินทร์ พากันมาอาราธนาท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบุแกรง ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระอยู่จำพรรษา ต่อมาด้วยเห็นว่า หากจะอยู่ทำประโยชน์ไว้ในพระบวรพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น จำเป็นที่ท่านต้องศึกษาเพิ่มเติม ดังนั้น ในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ หลังออกพรรษาแล้ว ท่านจึงเดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จนสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และ ๒๔๘๔ ตามลำดับ
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ภายหลังที่ท่านสอบได้นักธรรมโทแล้ว เกิดมีศรัทธาหนักไปทางปฏิบัติจิตตภาวนา ดังนั้นท่านจึงได้ญัตติใหม่ในธรรมยุติกนิกาย ณ วัดสุทธจินดา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมฐิติญาณ (สังข์ทอง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ทองดี เป็นพระอนุสาวนาจารย์ จากนั้น ท่านได้กลับไปจำพรรษา ณ วัดป่าศรัทธารวม เป็นเวลา ๒ พรรษา ก่อนที่จะเริ่มต้นการเดินธุดงค์ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖
พ.ศ. ๒๔๘๖ วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
พ.ศ. ๒๔๘๗ วัดโยธาประสิทธิ บ้านห้วยเสนง จังหวัดสุรินทร์ (ในพรรษานี้ ท่านได้จำพรรษา ร่วมกับท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ประกอบกับได้ดูแลโยมบิดามารดา ซึ่งกำลังป่วยอยู่)
พ.ศ. ๒๔๘๔ วัดป่าศรีไพรวัน อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินธุดงค์ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ ข้ามเขาภูพาน ไปวัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เพื่อไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๔๙๒ หลวงปู่มั่น ท่านพิจารณาเห็นว่าท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโรเป็นลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ แต่ยังไม่มีผู้ดูแลอุปัฏฐากจึงมอบหมายให้ท่านอาจารย์สุวัจน์ไปเป็นพระอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์ฝั้น ในระยะเวลา ๔ ปีนี้ ณ วัดป่าภูธรพิทักษ์ ตำบลธาตุนาเวง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยในช่วงเวลาออกพรรษาของแต่ละปี ท่านอาจารย์สุวัจน์จะลาท่านพระอาจารย์ฝั้นไปศึกษาธรรม และอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาในอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๓ วัดเทพกัลยาราม บ้านน้อยจอมศรี อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๔ วัดป่าพระสถิต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
พ.ศ. ๒๔๙๕ สำนักสงฆ์ควนเขาดิน อำเภอท้ายเมือง จังหวัดพังงา
พ.ศ. ๒๔๙๖ วัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๔๙๗ วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๔๙๘ วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
พ.ศ. ๒๔๙๙ วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๕๐๐-๒๕๐๑ วัดป่าปราสาทจอมพระ อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์
พ.ศ. ๒๕๐๒ วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๕๐๓ วัดป่าบ้านไม้ขาว อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๕๐๔ วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๕๐๕ สำนักสงฆ์ถ้ำขาม ตำบลบ้านไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๕๐๖ วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๕๐๗ วัดถาวรคุณาราม อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
พ.ศ. ๒๕๐๘ วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๕๐๙-๒๕๑๔ วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๒๔ สำนักสงฆ์ถ้ำศรีแก้ว ตำบลสร้างค้อ อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร
พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองซีแอตเติ้ล มลรัฐวอชิงตัน
พ.ศ. ๒๕๒๗ สำนักสงฆ์ (ชั่วคราว) เมืองแอนนาไฮม์ฮิล มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๒๘ สำนักสงฆ์ป่าธรรมชาติ เมืองลาพวนเต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๒๙ สำนักสงฆ์นอร์ธแซนฮวน เมืองซาคราเมนโต้ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๓ วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๓๔ วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๓๕ วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๓๖-๒๕๓๘ วัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๓๙ วัดป่าเขาน้อย จังหวัดบุรีรัมย์
พ.ศ. ๒๕๔๐ วัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๕ วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
การรับแต่งตั้งให้ปฏิบัติศาสนกิจ และการรับสมณศักดิ์
ตามหนังสือที่ ๒๖/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นพระอุปัชฌาย์
ตามหนังสือที่ ๙/๒๕๒๙ ลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ท่านได้รับแต่งตั้งจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ให้เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุตในประเทศสหรัฐอเมริกา
วันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น “พระครูปลัดสุวัฒนญาณคุณ”
วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่านได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ “พระโพธิธรรมจารย์เถร”
การปฏิบัติศาสนกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา
นับแต่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตจากคณะสงฆ์ไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เพื่อไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ปฏิบัติศาสกิจนี้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งในบางครั้งท่านต้องเดินทางไปแสดงธรรมอบรมจิตภาวนาตามสมาคมทางพระพุทธศาสนา ที่เขามีจิตศรัทธานิมนมา และท่านยังได้สร้างวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนตาริโอ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย และวัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ็นเตอร์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นที่ประพฤติปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างของวัดกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก
สูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทร
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๓๙ หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นเหตุทำให้องค์ท่านต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นเวลานาน และเดินไม่ได้ รวมทั้งองค์หลวงปู่ท่านมีปัญหาเรื่องปอดไม่แข็งแรงมานานแล้วในช่วงระยะ ๑ ปีที่ผ่านมา องค์หลวงปู่ท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคปอดติดเชื้อมาตลอด (ประมาณ ๔-๕ ครั้ง)ครั้งสุดท้ายก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ องค์หลวงปู่เข้ามารักษาองค์ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธและหัวใจท่านได้หยุดเต้นไปแต่เป็นบุญที่คณะแพทย์และพยาบาลได้ถวายการรักษาได้ทันท่วงทีจึงสามารถช่วยท่านไว้ได้ตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษาองค์หลวงปู่มักจะปรารถอยู่เนือง ๆ ว่าท่านอยากกลับไปวัดจนเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม องค์หลวงปู่แข็งแรงขึ้นมากและแพทย์เห็นสมควรให้ท่านเดินทางกลับบุรีรัมย์ได้
หลวงปู่ท่านสดใสมาก เมื่อได้กลับไปที่วัดป่าเขาน้อยอาการท่านก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ แข็งแรงมากพอที่จะไปโปรดญาติโยมที่วัดป่าปราสาทจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ได้หลวงปู่เมตตาพำนักที่วัดป่าปราสาทจอมพระและแสดงธรรมโปรดญาติโยมประมาณ ๑ อาทิตย์คือช่วงวันที่ ๑๓ มี.ค. ถึง ๒๐ มี.ค. จึงได้กลับเดินทางกลับวัดป่าเขาน้อย
หลังจากที่หลวงปู่ท่านเดินทางกลับมาพำนักที่เขาน้อยได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมาก จนต้องพาท่านเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์หลังจากที่ท่านได้เข้าไปรักษาตัวได้ ๒ วัน อาการดีขึ้นมากแพทย์ที่ถวายการรักษา ขอดูอาการ ซึ่งหากไม่ทรุดลงไปก็จะอนุญาตให้กลับวัดได้แต่แล้ว…อาการของหลวงปู่ ก็เริ่มทรุดลงเมื่อวันที่ ๒ เม.ย.และอาการหนักในคืนวันที่ ๓ เม.ย.เนื่องจากโรคปอดติดเชื้อที่แทรกซ้อนขึ้นมาเช้าวันที่ ๕ เป็นวันที่ศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดและแพทย์ต้องตัดสินใจแพทย์แนะนำให้เจาะคอองค์หลวงปู่แต่เมื่อประชุมกันแล้ว ลงความเห็นว่าไม่สมควรเจาะคอเพราะจะเพียงแค่ยืดอายุขัยท่าน แต่ก็จะทรมานองค์หลวงปู่มากมายแพทย์หลาย ๆ คนพยายามติดต่ออาจารย์หมอที่ชำนาญทางปอดเพื่อให้เดินทางมาถวายการรักษาที่บุรีรัมย์
ประมาณช่วงเที่ยงวันนั้นองค์หลวงปู่ท่านแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ที่จะละสังขารด้วยการค่อย ๆ ถอนให้เห็นโดยปกติคนที่ป่วยหนัก ค่าต่าง ๆ ที่แสดงถึงความมีชีวิตอยู่อาทิ ความดัน ชีพจร ฯลฯ จะ fluctuateแต่ขององค์หลวงปู่ท่านจะคงที่ ค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับให้เห็นว่าองค์ท่านควบคุมได้ และไม่ประสงค์จะครองสังขารอีกต่อไปคณะศิษยานุศิษย์จึงเตรียมนำองค์ท่านกลับคืนสู่วัด หากแต่ก็ไม่ทัน องค์หลวงปู่ละสังขารจากไปด้วยอาการอันสงบ ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๕ เวลา ๑๓.๑๒ น. สิริรวมอายุได้ ๘๓ ปี พรรษา ๖๑ พรรษา ครั้นเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศภาคม ๒๕๔๕ ได้รับพระมาหกรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเพลิงศพขององค์หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ ณ เมรุชั่วคราว วัดป่าเขาน้อย ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธาธี เป็นประธาน และองค์จุดไปพระราชทานเผาสรีระร่างขององค์หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
ภายหลังจากที่ได้พระราชทานเพลิงศพขององค์ท่านแล้ว คณะศิษย์ยานุศิษย์ได้สร้างเจดีย์อนุสรณ์สถานเพื่อบรรจุอัฐบริขาร และอัฐิธาตุขององค์ท่าน ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง