ตัวฐีติ นี่มันก็นิ่งเด่นของมันอยู่ หมายถึงในขณะที่จิตกับอารมณ์มันแยกออกจากกันได้แล้ว
ทีนี้เพราะความรู้ที่มันเกิดขึ้น จิตไม่มีอุปาทานยึดมั่นในความรู้นั้น มันจึงปรากฏว่าสิ่งรู้ทั้งหลายนี่เป็นอันหนึ่ง จิตก็เป็นอีกอันหนึ่ง
ความรู้ที่เกิดขึ้นแล้ว มันแยกออกจากจิตได้ มันเป็นตัว วิสังขาร
แต่ถ้ารู้แล้วจิตยังสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ มันเป็นตัว สังขาร มันเป็น สังขารา อนิจจา
ฐีติภูตัง ของหลวงปู่มั่นนี่เป็นวิสังขาร จิตรู้แล้วไม่ยึดสิ่งรู้ มีแต่ปล่อยวางลูกเดียว
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
พระราชสังวรญาณ นามเดิม พุธ อินทรหา ฉายา ฐานิโย (๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ — ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒) เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา และวิปัสสนาจารย์สายพระป่าในประเทศไทยลูกศิษย์องค์สุดท้ายของพระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) ท่านกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก และในช่วงวัยเด็ก ท่านมักจะมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่มีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น และสามารถปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมในขณะอยู่ในเพศบรรพชิต
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านมีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔ ณ บ้านหนองหญ้าเส้ง ตำบลสันประดู่ อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เป็นบุตรคนเดียวของบิดามารดา ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ ในช่วงอายุได้ ๔ ขวบ มารดาได้ถึงแก่กรรม บิดามีความเสียใจเป็นอันมากจึงนำท่านย้ายมาอยู่บ้านเกิดของบิดาที่ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร
ในช่วงวัยเยาว์ ท่านได้ออกศึกษาหาความรู้ ในโรงเรียนประชาบาลวัดไทรทอง ท่านได้เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จึงได้ลาออกมาแล้วบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อมีอายุได้ ๑๕ ปี ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้าน โคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่านพระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์
หลังจากบรรพชาแล้ว ท่านก็อาศัยอยู่กับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี และเริ่มรับการฝึกอบรมด้าน ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านพระอาจารย์เสาร์ ได้พาหลวงพ่อไปฝากตัวเป็นศิษย์พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ณ วัดปทุมวนาราม (วัดสระปทุม) กรุงเทพมหานคร ซึ่งหลวงพ่อได้จำพรรษาเรื่อยมาจนอายุครบบวช ๒๑ ปี จึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ณ วัดแห่งนี้ หลวงพ่อได้ปฏิบัติศาสนกิจช่วยงานพระศาสนาตลอดมา และในช่วงสงครามแปซิฟิก ท่านได้อพยพกลับไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี และท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดแห่งนั้นจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ระหว่างนั้นท่านเกิดอาพาธเป็นวัณโรคอย่างหนัก ต่อมาท่านได้พบกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร และท่านก็ได้ช่วยรักษาโดยการสอนให้เพ่งอาการ ๓๒ โดยให้พิจารณาถึงความตายให้มากที่สุด ทั้งยัง คอยให้กำลังใจกับท่านตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน ในระยะเวลาที่ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่หยุดยั้ง และทำหน้าที่เป็นวิทยากรบรรยายธรรม สร้างคุณประโยชน์ต่อศาสนามากมาย และได้สร้างโรงเรียนราชอุปถัมภ์ สร้างอาคารให้เด็กนักเรียน มอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงเรียน ตลอดจนหน่วยงาน ราชการต่าง ๆ - นอกจากนี้ท่านยังช่วยจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลเสมอ ๆ - อีกทั้งยังมอบทุนสนับสนุนการก่อสร้างตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาล มหาราช จังหวัดนครราชสีมา - รวมทั้งมอบทุนสนับสนุนการก่อตั้งมูลนิธิของโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกด้วย
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมสิริอายุได้ ๗๘ ปี พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร) ไปในการพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ ณ วัดป่าสาลวัน อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา