จิต คือผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง สังขาร สัญญาอารมณ์ทั้งหมดเกิดจากจิต เมื่อพูดถึงจิตแล้วไม่นิ่งเฉยได้เลย
จิต เป็นของไม่มีตัวตน แทรกซึมเข้าไปอยู่ได้ในที่ทุกสถาน แม้แต่ภูเขาหนาทึบก็ยังแทรกเข้าไป แทรกทะลุปรุโปร่งได้เลย จิต นี้มีอภินิหารมาก เหลือที่จะพรรณนาให้สิ้นสุดได้
ใจ คือผู้เป็นกลางๆ ในสิ่งทั้งปวงหมด ใจก็ไม่มีตัวตนอีกนั่นแหละ มีแต่ผู้รู้อยู่เฉยๆ แต่ไม่มีอาการไป อาการมา อดีตก็ไม่มี อนาคตก็ไม่มี บุญแลบาปก็ไม่มี นอกแลในก็ไม่มี กลางอยู่ตรงไหนใจก็อยู่ตรงนั้น
ตัวใจแท้มิใช่วัตถุ เป็นนามธรรม
กิเลสมิใช่จิต จิตไม่ใช่กิเลส แต่จิตไปยึดเอากิเลสมาปรุงแต่งให้เป็นกิเลส ถ้าจิตกับกิเลสเป็นอันเดียวกันแล้ว ใครในโลกนี้จะชำระกิเลสให้หมดได้
ผู้ต้องการจะชำระจิตใจของตนให้สะอาดปราศจากกิเลสทั้งปวง จะต้องชำระ จิต นี้แหละไม่ต้องไปชำระที่ ใจ หรอก เมื่อชำระที่ จิต แล้ว ใจ มันก็สะอาดไปเอง เพราะ จิต แสส่ายไปแสวงหากิเลสมาเศร้าหมองด้วยตนเอง
เมื่อชำระ จิต ให้ใสสะอาดแล้วก็จะกลายมาเป็น ใจ ไปในตัว
ประวัติและปฏิปทา
พระราชนิโรธรังสี หรือ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (๒๖ เมษายน ๒๔๔๕ - ๑๗ ธันวาคม ๒๕๓๗) วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย นามเดิม เทสก์ เรี่ยวแรง ชาวอุดรธานี เป็นพระมหาเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ และทายาททางธรรมของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระธุดงคกรรมฐาน หลวงปู่เทสก์ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระนักพัฒนาวัดตัวอย่าง และเป็นหัวหน้ากองทัพธรรม เผยแผ่แนวทางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้มีความเจริญเป็นอย่างมาก ทั้งในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ และในต่างประเทศ ท่านได้บำเพ็ญกิจน้อยใหญ่เพื่อประโยชน์แห่งพระพุทธศาสนาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคนานาประการ จึงเป็นพระสุปฏิปันโนที่คู่ควรแก่การเคารพบูชากราบไหว้อย่างแท้จริง
หลวงปู่เทสก์เกิดในครอบครัวชาวนา ครั้งหนึ่งท่านเกิดความสลดสังเวชในชีวิตฆราวาสเนื่องจากเห็นความยากลำบากในการหาอยู่หากินไม่จบสิ้น เมื่ออายุ ๑๖ ปีได้พบกับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม จึงได้ติดตามท่านไปบรรพชาเป็นสามเณรที่จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ได้เรียนบาลีและสอบนักธรรมชั้นตรีได้ เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุต ณ วัดสุทัศน์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากออกพรรษาแรก หลวงปู่เทสก์ได้ออกธุดงค์ติดตามพระอาจารย์สิงห์ไปกราบและฟังธรรมพระอาจารย์มั่น ที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ทำให้ได้กำลังใจและความฮึกเหิมในการปฏิบัติภาวนาเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาจำพรรษาที่จังหวัดสกลนคร ท่านได้ปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ ผ่อนอาหาร ภาวนาตลอดคืนเป็นประจำ ทำกิจวัตรและอาจริยวัตรสมบูรณ์มิได้พร่องตลอดระยะเวลาสามเดือน ครั้นเมื่อได้ข่าวว่าพระอาจารย์มั่นไปพำนักที่ภาคเหนือ หลวงปู่เทสก์จึงเดินทางติดตามไปพบและฟังเทศน์ท่านที่ป่าเมี่ยง ดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้รับอุบายธรรมที่สำคัญจากพระอาจารย์มั่น คือ “ถ้าองค์ใดปฏิบัติตามที่ผมสอน คือ พิจารณากายคตาสติจนถึงเป็นธาตุและสภาวะตามเป็นจริง องค์นั้นจะปฏิบัติได้มั่นคงและเจริญงอกงามโดยลำดับ” หลวงปู่เทสก์ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด คือพิจารณากายคตาทุกลมหายใจตลอดพรรษา
จากนั้นท่านได้เที่ยวธุดงค์ไปพำนักอยู่กับชาวมูเซอร์ ที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ และเทศนาอบรมชาวมอญ ที่อำเภอปากบ่อง (ป่าซาง) จังหวัดลำพูน จนมีผู้หันมานับถือพระไตรสรณคมน์เป็นจำนวนมาก ต่อมาหลวงปู่เทสก์ได้กลับมาที่ภาคอีสาน ได้ไปอยู่ดูแลพระอาจารย์มั่นที่อาพาธ ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดภูริทัตตถิราวาส) อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนกระทั่งท่านละสังขารไป
ต่อมาหลวงปู่เทสก์ได้เป็นผู้นำกองทัพธรรมไปเผยแผ่ธรรมะภาคปฏิบัติที่ภาคใต้นานถึง ๑๕ ปี โดยพำนักอยู่ที่จังหวัดพังงาและภูเก็ต ที่นั้นท่านได้เผชิญอุปสรรคมากมายจากการต่อต้านของคนท้องถิ่นที่เห็นว่า “พระธุดงคกรรมฐาน” เป็นของแปลกประหลาด แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยลดละความพยายาม อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่คนท้องถิ่นโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก สร้างความเจริญมั่นคงในพระพุทธศาสนาในพื้นที่จนเป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลทั่วไป
เมื่อเข้าวัยชรา หลวงปู่เทสก์จึงลดกิจวัตรการเดินธุดงค์ลง และมาประจำเพื่อทำความเพียรภาวนาเฉพาะตัวที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย การสร้างวัดนี้มิได้เพื่อประโยชน์ส่วนตนให้คนยกย่องนับถือ แต่เพื่อส่งเสริมกิจกรรมในพระศาสนาอย่างแท้จริง ท่านพัฒนาวัดโดยที่ไม่ “เรี่ยไร” หรือเบียดเบียน หากเขาจะช่วยก็ด้วยความเต็มใจของเขาเท่านั้น
นอกจากนี้ หลวงปู่เทสก์ยังมีผลงานการเผยแผ่ธรรมะในต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย รวมเป็นระยะเวลากว่า ๓ เดือน แม้ว่าจะต้องมีการเดินทางไปกลับบ่อยและพำนักอยู่ในแต่ละประเทศได้ไม่นาน แต่ท่านก็ได้ไปเทศน์โปรดชาวพุทธที่นั่นจนเกิดความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ในช่วงบั้นปลายของชีวิต หลวงปู่เทสก์ ได้พำนักอยู่ที่ วัดถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร และได้ละสังขารลงอย่างสงบที่นั่น ตลอดเวลา ๗๑ พรรษาในสมณเพศ ท่านประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีงามของผู้ไม่ประมาท ในการบำเพ็ญบารมีส่วนตนให้บริบูรณ์ และสร้างความเจริญมั่นคงในพระพุทธศาสนาแผ่กระจายไปทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญคือหลวงปู่ได้ฝากมรดกธรรมคำสอนภาคปฏิบัติ ที่ท่านได้เขียนขึ้นหรือให้โอวาทธรรมตามโอกาสต่างๆ ที่ได้สืบทอดคำสอนของพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต อย่างถูกต้องและเที่ยงตรง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามเข้าใจได้ง่ายและเข้าถึงภูมิธรรมตามวาสนาบารมีของตน นับเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่กุลบุตรรุ่นหลังอย่างแท้จริง