สวนพุทธธรรม ปัญญจิตตธัมโม
Close
  • Log in
สวนพุทธธรรม ปัญญจิตตธัมโม
Close
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ
    • Back
    • สวนพุทธธรรม
    • หลวงปู่เปลื้อง ปญฺญวนฺโต
    • หลวงปู่อูเตชนียะ
  • ครูบาอาจารย์
    • Back
    • พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    • พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
    • พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    • ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    • หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    • หลวงปู่ขาว อนาลโย
    • หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    • หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
    • หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
    • หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    • หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    • หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
    • หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    • หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    • พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    • หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    • หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
    • พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
    • หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    • พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ
    • หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
    • พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
    • หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
    • หลวงปู่จันทา ถาวโร
    • หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร
    • หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ
    • หลวงปู่ขาน ฐานวโร
    • หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย
    • หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
  • หลักการปฏิบัติ
    • Back
    • คติธรรมเตือนตน
    • ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของกาย
    • แยกกายแยกจิต
    • เดินจงกรม
    • มรรควิถี
    • อริยสัจจ์แห่งจิต
    • ธาตุสี่ ขันธ์ห้า
  • สื่อธรรมะ
    • Back
    • ห้องสมุดธรรมะ
  • ติดต่อเรา
Menu
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับ
    • Back
    • สวนพุทธธรรม
    • หลวงปู่เปลื้อง ปญฺญวนฺโต
    • หลวงปู่อูเตชนียะ
  • ครูบาอาจารย์
    • Back
    • พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    • พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล
    • พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
    • ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    • หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    • หลวงปู่ขาว อนาลโย
    • หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    • หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
    • หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร
    • หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
    • หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    • หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
    • หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    • หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
    • พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    • หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท
    • หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
    • พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
    • หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    • พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ
    • หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
    • พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร
    • หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต
    • หลวงปู่จันทา ถาวโร
    • หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร
    • หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ
    • หลวงปู่ขาน ฐานวโร
    • หลวงปู่วิไลย์ เขมิโย
    • หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ
  • หลักการปฏิบัติ
    • Back
    • คติธรรมเตือนตน
    • ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของกาย
    • แยกกายแยกจิต
    • เดินจงกรม
    • มรรควิถี
    • อริยสัจจ์แห่งจิต
    • ธาตุสี่ ขันธ์ห้า
  • สื่อธรรมะ
    • Back
    • ห้องสมุดธรรมะ
  • ติดต่อเรา
Close
Menu
Personal menu
สวนพุทธธรรม ปัญญจิตตธัมโม
Search
  • Home /
  • ครูบาอาจารย์ /
  • หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร

หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร

Picture of หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร

หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขามีอยู่แล้วทั้งรูปธรรมและนามธรรม เมื่อใจมีปัญญาเกิดขึ้น ก็เห็นได้เองเลยว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นธาตุ เป็นอนัตตา

เมื่อใจเห็นใจรู้จะไปอยู่ทำอะไรหน๋อ เมื่อใจรู้ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ก็ละหลงว่าเที่ยงออกจากใจ ใจก็หลุดพ้น เมื่อใจรู้ว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ก็ละหลงว่าเป็นสุขออกจากใจ ใจก็หลุดพ้น เมื่อใจรู้ว่าธรรมทั้งปวงเป็นธาตุ เป็นอนัตตา ก็ละหลงว่าเป็นอัตตาออกจากใจ ใจก็หลุดพ้น

ใจหลุดพ้นจากความหลง ไม่หลงว่ามีตัวตนเราเขาในธาตุทั้งหลาย สังขตธาตุก็รู้ อสังขตธาตุก็รู้ รู้ว่าเป็นธาตุสูญเปล่าจากตัวตนเราเขา

หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร

หลวงปู่บุญจันทร์ จนฺทวโร  วัดถ้ำผาผึ้ง ต.หนองบัว อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่

นายบุญจันทร์ พงศ์สวัสดิ์ มีบิดาชื่อ นายเพียร พงศ์สวัสดิ์ มารดาชื่อ นางสงบ พงศ์สวัสดิ์ เกิดที่เมืองพล อำเภอพล ตำบลเมืองเก่า จังหวัดขอนแก่น เกิดวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ ขึ้น ๑๕ ค่ำ วันอังคาร มารดาและบิดาเป็นชาวนา อาชีพทำนาทำสวน เมื่อเกิดมาแล้วมารดาและบิดาก็ได้เลี้ยงดูเจริญขึ้นตามลำดับ จนมีอายุได้ ๘ ปี ก็ได้ฝากให้เรียนหนังสือ ที่โรงเรียนประชาบาลเมืองพล จนเรียนจบประถมสี่ ก็ได้ออกจากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน ช่วยบิดามารดาทำนาทำสวน

ครั้นอายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ชีวิตความเป็นหนุ่มก็กำลังเจริญขึ้น กิเลส ความโลภอยากได้ยินดี มันก็เจริญขึ้น จึงต้องทำงานต่างๆ ทำนาบ้าง ทำสวนบ้าง ค้าขายบ้าง หาปู หาปลา ทั้งวันทั้งคืน เพื่อเอามากิน เอามาเลี้ยงพ่อแม่ เอามาขาย เอาเงินเก็บหอมรอบ ริบ เพื่อจะมีครอบครัวในอนาคต จนอายุเจริญขึ้น ย่างเข้า ๒๑ ปี พ่อแม่ก็ปรารภเรื่องจะให้มีครอบครัว เจ้าตัวเองก็เลยคิดว่า ถ้าไปมีครอบครัว แล้วกลัวจะไม่ได้บวช ฉะนั้น เมื่อพิจารณาตกลงใจว่า จะต้องบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่เสียก่อน ถ้าอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา ก็ค่อยมีครอบครัวทีหลัง จึงบอกความประสงค์ให้พ่อแม่ทราบ ท่านก็ยินดีอนุโมทนาด้วย

ต่อมาท่านจึงนำไปฝาก ท่านอาจารย์ทองสุข ที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ เมืองพล เพื่อฝึกหัดครองนาคและฝึกขัอวัตรปฏิบัติในเบื้องต้น เช่น หัดกราบไหว้ หัดปฏิบัติครูบาอาจารย์ หัดกินข้าวหนเดียว หัดท่องครองนาค และฝึกทำนองมคธ ภาษา หัดไหว้พระสวดมนต์ ปฏิบัติครูบาอาจารย์ ถวายน้ำใช้น้ำฉัน ตักน้ำใส่โอ่ง ส่วนบริขารเครื่องบวชนั้นบิดามารดาท่านเป็นเจ้าภาพจัดหา ตระเตรียมไว้เสร็จเรียบร้อย ไปหัดนาคอยู่ ๑๕ วัด บิดาาท่านก็ได้ไปติดต่อพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเวลานั้นมี พระครูอนุโยคธรรมฌาน เป็นพระอุปัชฌาย์ มี อาจารย์มหาประสงค์ เป็นพระกรรมวาจารจารย์ ได้บรรพชาและอุปสมบทที่พัทธสีมา วัดสระจันทร์ เมื่ออายุ ๒๑ ปี วันที่ ๓๑ กรกฏาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ วัดสระจันทร์ ตำบลเมืองเกา อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น

เมื่อเสร็จการบรรพชาอุปสมบทแล้ว ก็ได้ลาพระอุปัชฌาย์ ไปจำพรรษาที่วัดป่ามัชฌิมวาส บ้านคึมชาติ มีท่านอาจารย์ทองสุข เป็นอาจารย์ ได้มอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ท่าน ท่านก็แนะนำสั่งสอน ให้ท่องทำวัตรเช้าเย็น แนะนำให้ท่องสวดมนต์ แนะนำให้ท่องนวโกวาท แนะนำให้ดูหนังสือนักธรรมตรี ครั้นถึงเวลาเช้า ก็นำทำวัตรเช้า ตอนเย็นก็นำทำวัตรเย็น ตอนเช้า ตื่นระยะเวลา ตี ๓-๔ ก็ลงมาที่ศาลา ปัดกวาดบนศาลา เสร็จก็ปูเสื่อ ปูอาสนะ ที่นั่งของอาจารย์ และพระตามลำดับ ตั้งน้ำฉัน ตั้งกระโถนเตรียมบาตร เมื่อถึงเวลาออกบิณบาตประมาณ ๗ โมง ก็ไปบิณฑบาต บ้านคึมชาติบ้าง บ้านเหล่านาคีบ้าง บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาฉันที่ศาลาภายในวัด จัดแจงอาหารแจกจ่ายกันทั่วถึง แล้วก็ลงมือฉันด้วยสำรวม ฉันเฉพาะในบาตร ฉันวันละ ครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อฉันเสร็จก็นำบาตรไปล้าง แล้วนำมาเช็ดให้แห้ง เอาผึ่งแดดพอสมควร แล้วก็เอาใส่สลกตั้งไว้ แล้วก็ช่วยกันปัดกวาดศาลา เก็บเสื่อเก็บอาสนะ เก็บกระโถน ที่ล้างแล้วก็เอามาเช็ดให้แห้ง แล้วนำไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย ต่อมาก็เก็บบาตร และเครื่องใช้ของตนไปกุฏิ เอาบาตรและบริขารอื่นไปไว้แล้ว ก็เตรียมท่องหนังสือสูตรไหน ที่ยังไม่ได้ก็เตรียมท่องต่อไป

ระหว่างที่เป็นนวกภิกษุผู้บวชใหม่ กิจที่จะต้องศึกษายังมีมาก ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน บางทีท่องหนังสือไป มันเหนื่อย ก็หยุดพัก ภาวนา พุทโธ พุทโธ บางทีก็พิจารณากายในอาการสามสิบสอง โดยความเป็นปฏิกูลบ้าง บางครั้ง ก็ กำหนดลมหายใจ เข้าออก พร้อมทั้งคำบริกรรม พุทโธ พุทโธ

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง มีโยมชาวบ้านเขาตาย เขาก็มานิมนต์พระไปให้บุญคนตาย คือนิมนต์ไปสวดมาติกาและบีงสุกุล ก็มานึกในใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย เวลาตายลง เขามีบ้านมีเรือน ก็เอาไปไม่ได้ เขามีวัตถุ ข้าวของ เงินทองก็ เอาไปไม่ได้ บางคนทรัพย์สินเงินทองข้าวของมากมี เวลาตายเป็นผี เอาไปไม่ได้ ความตายนี้ไม่มีอะไรป้องกัน คนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ เจ็บ ตาย กันทั้งนั้น อย่าว่าแต่คนอื่นจะตายเลย ตัวเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เมื่อความตายมาถึงเรา เราจะเอาอะไรในกายนี้ แม่แต่ผมเส้นเดียวก็เอาไม่ได้

เมื่อพิจารณาไป ก็เกิดสังเวชสลดใจ จึงได้พิจารณากายตัวเอง ถึงมรณานุสติ มากเข้า ต่อนั้นมา การพิจารณากายคสติ กับมรณานุสติ มักจะไปด้วยกัน แต่ในตอนนั้น มันเป็นพรรษาแรก ไหนจะเจริญกรรมฐานบ้าง ไหนจะไปท่องสวดมนต์บ้าง ไหนจะไปดูธรรมะบ้าง ไหนถึงเวลาทำข้อวัตรก็ต้องเบ่งเวลาไปทำ รู้สึกว่าการเจริญกรรมฐานยังได้น้อย

บางครั้งตัณหา กิเลส มันก็แสดงออกไปภายนอก เพราะไปนึกถึงเรื่องอดีต ที่พ่อ แม่แบ่งนาไว้ให้ แบ่งสวนไว้ให้ แบ่งวัวแบ่งควายไว้ให้ และพ่อก็ไปขอสาวไว้ให้ แม่ก็ไปขอสาวไว้ให้ ถ้าสึกมาเมื่อไร ก็จะได้แต่งงานกัน

คิดทางโลก ซึ่งเป็นเรื่องกามวัตถุ เมื่อคิดไปแล้วมันก็คิดทบทวน มาหาคนที่ตาย เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นตาย เขาก็เอา เผาไฟ ไฟก้ไหม้หมด ไหม้หัว ไหม้หน้าตา ที่สวยงามๆ ไหม้แขน ไหม้มือ ไหม้ตัว ไหม้ขา ไหม้แข้ง ไหม้ตีน ไหม้หมด ทั้งหนังเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก แม้แต่ตัวเขา ก็เอาอะไรไม่ได้ มีวัตถุข้าวของเงินทองมากมายได้อะไร ใจรู้ไหม ใจเห็นไหม ใจนี้มันตายไหม ถ้าใจมันตาย ไปด้วยกัน เอาไปเผาหมดทั้งกาย ทั้งใจเห็นจะดี ไม่มีกาย ไม่มีใจแล้ว เห็นจะไม่มี ทุกข์ยากลำบากอะไร แต่ในหนังสือธรรมะ ท่านว่า ใจไม่ตาย กายตาย ใจไปเกิดอีก เป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเรื่องของกรรม ถ้าทำกรรมดี ใจก็ไปเกิดที่ดี ถ้าทำกรรมชั่ว ใจก็ไปเกิดที่ชั่ว

เมื่อมีความเห็นอย่างนี้ใจก็น้อมไปในการเจริญกรรมฐานมากขึ้น ตายไม่ได้อะไร สึกไปทำไมา ถ้าสึกไปเอาเมีย เมียมัน ก็ตาย ตัวเราก็ตาย คนทั้งโลกตายกันทั้งนั้น ไม่มีใครได้อะไร สมบัติเครื่องใช้ในโลกชั่วคราว ดูซิ เศรษฐีมีเงิน ร้อยล้านพัน ล้านตายลง บาทเดียวก็เอาไม่ได้ ในเวลามีชีวิตอยู่ลุ่มหลงมัวเมาหาแต่วัตถุ ข้าวของเงินทอง เมาเสียจนมืด สิ้นบุญกุศล จะให้ทานก็กลัวแต่มันจะหมด เรื่องหมดไม่ชอบ ชอบแต่เรื่องร่ำรวยมั่งมี ยิ่งมียิ่งตระหนี่ขี้เหนียว เศรษฐีบางคนเอาทรัพย์ไปซ่อนไว้ เอาไปฝังไว้ กลัวลูกหลานเขาจะแย่งเอาไป เวลาตายก็ไปเป็นผี เฝ้าเงินเฝ้าทอง ยิ่งทำโทษหนักให้แก่ตัวเอง เพราะหลงมืดมน ไม่สนใจในธรรมะ จึงไม่รู้จักประโยชน์การใช้เงิน

ในธรรมะท่านแสดงประโยชน์เอาไว้อย่างนี้ มีทรัพย์ให้แบ่งออกห้าส่วน เลี้ยงบิดามารดาที่แก่เฒ่าชราให้เป็นสุข เลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวลูกหลาน บ่าวไพร่ บริวาร ให้เป็นสุข เอาทำทุนค้าขาย หากำไร เก็บไว้ใช้ในเวลาจำเป็น เอาทำบุญ ให้ทานการกุศล ถ้าทำได้อย่างนี้ ทางธรรมะท่านเรียกว่า รู้จักประโยชน์ในการใช้ทรัพย์ มีโภคทรัพย์แล้วเอาแลกเปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ คือ จาคธนัง ยังจะเป็นประโยชน์ต่อไปในสุคติภพ นี้ประโยชน์ตนชาตินี้ ประโยชน์ตนชาติหน้า ประโยชน์อย่างยิ่งอย่างสูงได้แก่ มรรคผล นิพพาน

ท่านมองเห็นประโยชน์ไหมว่า จะมีประโยชน์จริงหรือไม่จริง หรือตายแล้วสูญ ถามใจคุณดูซิว่า ใจคุณมันสูญสิ้นไป ไหม ไม่มีความเวียนว่ายตายเกิดหรือ คุณเคยดู ปฏิจจสมุปทานไหม พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ว่า อวิชชา เป็นปัจจัย ให้มีสังขาร สังขารเก่าตายไป สังขารใหม่เกิดขึ้นมา เพราะใจมีอวิชชาไม่ใช่หรือ ใจหลงกับสังขาร กับความคิดนึกปรุง แต่ง ทั้งที่สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ใจก็หลง แล้วหลงอีก ท่านให้นึกพุทโธ รู้ใจ พุทโธ ใจรู้ ก็นึกไม่ได้ เพราะใจ มันหลงมัวเมา ในกิเลสกามและวัตถุกาม จนมืดมนอนธการ หลงบ้านเรา หลงผัวเรา หลงเมียเรา หลงลูกเรา หลงหลานเรา หลงญาติมิตรพี่น้องเรา ใจเมาในสังขารจนตาย ก็ไปเกิดกับสังขารอีก เป็นอย่างนี้มาหลายร้อยหลายพันกัปมาแล้ว ยังหลงต่อ ไปในอนาคต

ในปีแรกนี้ การศึกษาธรรมะ การเล่าเรียนก็ดำเนินต่อไปเพราะได้คติธรรม คือ มรณานุสติ สอนใจ เมื่ออยู่จำพรรษา วัดป่าคึมชาติ จนออกพรรษาแล้ว ก็ได้กราบลาท่านอาจารย์ ์ไปเยี่ยมโยมบิดา มารดาที่บ้านแฮด ก็ได้พักที่วัดป่า มีหลวงพ่อ อิสสโร ท่านอยู่ที่นั้น เมื่อพักอยู่ที่นั้น ก้ได้ฟังธรรมจากท่าน แนะนำสั่งสอนมีหลายอุบาย แต่อารมณ์กรรมฐาน ท่านใช้ กายคตาสติ กับพุทโธ ใจบริกรรมพุทโธ แล้วพิจารณา ในอาการสิมสิบสอง พิจารณาในความเป็นของปฏิกูลบ้าง พิจารณาความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ อนัตตาบ้าง

ครั้นอยู่ต่อมา ท่านก็เป็นโรคเท้าบวม หลังเท้าของท่านบวมเป็นหนอง เดินไปมาลำบาก การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะต้องใช้กระโถน ญาติโยมช่วยหายามารักษา ท่านทั้งยาทา ทั้งยากิน ทั้งยาประคบ แต่อาการไม่ทุเลา อาการบวมพองกลัดหนองข้างใน ฉันก็ไม่ค่อยได้ นอนก็ไม่ค่อยหลับ เราก็ได้เฝ้าดูแลการรักษพยาบาลท่าน มาในคืนหนึ่ง ปรากฏอาการเจ็บปวดรุนแรงมาก เราก็เอายาทาให้และช่วยตักเตือนท่าน ให้ระลึกพุทโธ และเตือนท่านให้ละความยึดมั่นถือ มั่น บางครั้งเราก็เป่าให้ท่าน แต่รู้สึกว่า อาการของ โรครุนแรงมาก เท้าที่แตก หนองไหลออกมา แทนที่ว่าอาการจะเบาลง กลับกำเริบแรงกล้า จนถึงเท่านสิ้นลมหายใจตายลงในคืนนั้นเอง

พระเณรที่เฝ้าอยู่และญาติโยมได้เห็นก็เกิดสังเวชสลดใจ จนถึงเวลาเช้า ก็ไปบอกญาติโยม ทางในบ้าน และส่งข่าวไปถึง ท่านอาจารย์สีโห ท่านก็ได้พาพระเณร มาจากวัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ เมื่อท่านมาแล้วก็ได้บอกให้โยมทำหีบ เมื่อทำ เสร็จแล้ว ก็เอาขึ้นมาที่ศาลา เพราะท่านพักอยู่ศาลา ทำพิธีรดน้ำศพแล้วก็เอาศพของท่านบรรจุลงในหีบ ทำพิธีสวดมติกา และชักอนิจจา ต่อมาเมื่อคณะสงฆ์มีท่านอาจารย์สีโห เป็นประธาน พร้อมพระเณร ญาติโยม ก็ได้พากันทำฌาปกิจ ที่วัดนั่นเอง เวลาจูงศพท่านไปขึ้นเชิงตะกอน แล้วทำพิธีชักผ้าบังสุกุลเสร็จ ก็พากันใส่ดอกไม้จันทน์แล้วก็เผาที่นั่นเอง

ขณะที่เผาศพของท่าน ก็ได้ยืนดูพิจารณาไฟที่ไหม้ ไหม้กระดาษ ไหม้โลงพังออก เห็นตัวท่านไฟไหม้ผ้าจีวรที่คลุม ไหม้สบง ไหม้อังสะ ไหม้หัว ไหม้หน้า ไหม้ตา ไหม้หู ไหม้จมูก ไหม้ปากและไหม้ลำคอ ไหม้แขน ไหม้มือ ไฟไหม้อก ไฟ ไหม้ลำตัว ไฟไหม้หลัง ไฟไหม้สีข้างทั้งสอง ไฟไหม้ท้อง ไฟไหม้ขา ไฟไหม้แข้ง ไฟไหม้หนัง แล้วก็ไหม้เนื้อ ไหม้เข้าไปใน เส้น ไหม้ม้าม ไหม้เนื้อหัวใจ ไหม้ตับ ไหม้ไต ไหม้ไส้พุง มีเลือด น้ำเหลืองหลั่งไหลออกมา ไฟก้ไหม้ไปจนหมดเหลือแต่ กระดูกขาว กองอยู่ ปนกับถ่าน

นี้แลหนอจุดจบของร่างกาย ไม่ว่าคน ไม่ว่าสัตว์ ตายแล้วไม่เผากัฝัง มองเห้นเด่นชัดว่า ตายไม่ได้อะไร จบลงแค่ตาย จบลงแค่เผา แค่ฝัง หมดทุกข์ เรื่องบริหารร่างกาย ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำ ไม่ต้องทำงานทำการ ข้าวของเงินทอง บางคนหา ไว้เยอะ เมื่อยังไม่ตาย เมื่อตายแล้ว เอาอะไรไม่ได้ ฉะนั้นนักปราชญ์บัณฑิต จึงเตือนให้ระลึกถึงบุญ ตรวจตรองบุญว่า บุญ บารมีเราพอหรือยัง ถ้ายังไม่พอ ให้รีบทำนะ เดี๋ยวตาย จะเสียใจว่า ไม่ได้ทำบุญ ผู้จะรับผลบุญผลบาป ก็คือใจที่ไม่ตาย เมื่อ พิจารณาเขาก็มาพิจาณาเราตายเหมือนกัน ล่วงพ้นความตายไม่ได้ ก่อนความตายมาถึง ต้องรวบรวมบุญ กุศลมรรคผล ให้ถึงพร้อมภายในใจ

เมื่อเสร็จสิ้นการทำฌาปนกิจเศษอัฐิธาตุของท่านแล้ว ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอีกครั้งสุดท้าย อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ ท่านอีก ครั้นต่อมา พระเณรครูบาอาจารย์ที่ท่านมาในงาน ท่านกลับไปวัดท่านยังเหลืออยุ่สามรูป ก็มีแต่พระบวชใหม่ เพิ่ง ได้พรรษาเดียว จิตใจก็หว้าเหว่ นึกหาครูบาอาจารย์อีก เพราะตนยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ก็คิดจะลาญาติ โยมไปจังหวัดอุดร จึงได้ไปหาโยมบิดา เล่าความประสงค์ให้ท่านฟัง โยมบิดา บอกว่าจะเอานาไว้ให้ จะเอาสวนให้ จะเอา วัวให้ จะเอาควายให้ ถ้าสึกออกมา ก็จะหาภรรยาให้ จะมอบทรัพย์สมบัติให้ ก็เลยพูกับท่านว่า พ่อ ไม่ต้องห่วงอาตมา ถ้า อาตมาอยู่ในศาสนาไม่ได้ สึกออกมา จะหาเอาเอง ถ้าหาเอาเองไม่ได้ จะพามันกินดิน ได้พูดกับท่านอย่างนี้ และได้บอกท่านว่า เอาขายเสียให้หมด แล้วเอาเงินไปทำบุญ โยมพ่อเองก็ให้ออกบวชเสีย

เมื่ออาตมาพูดท่านก็ฟัง แล้วท่านก็พูดออกมาว่า จะขายให้หมดแล้ว จะออกบวช เมื่อได้พูดปรับเความเข้าใจกันแล้ว อาตมาก็ลาท่าน พ่อไปส่งที่สถานีรถไฟบ้านแฮด อาตมาก็ขึ้นรถไฟไปอุดร ไปขอจำพรรษาที่วัดทิพยรัตน์ มีท่านอาจารย์ฐิน เป็นเจ้าอาวาส เมื่อจำพรรษาที่วัดทิพย์รัตน์ ก็ได้เรียนนักธรรมโท และท่องสวดมนต์แปลด้วย และได้ท่องปฏิโมกข์ด้วย จนออกพรรษาได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่หนองวัวซอ จึงคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่าน เพื่อขอฟังธรรมคำสั่ง สอน จึงได้ไปขออนุญาติท่านอาจารย์ฐิน ก็เลยเตรียมเอาบริขารของตน ลาท่านเดินทางไป

เมื่อถึงวัดบ้านเล่า ท่านอาจารย์แพท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็เลยพูดให้ฟัง ว่าหลวงปู่ชอบ ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ไม่ทัน ก็เลยลาท่านอาจารย์กลับมาวัดทิพย์อีก จนรับกฐินเสร็จ ก็ได้ลาท่านอาจารย์ฐิน บอกท่านว่า จะไปเชียงใหม่ เพื่อตาม หาหลวงปู่ชอบ ก็ได้ออกเดินทาง ผ่านบ้านตาดไปอำเภอผือ ไปขอพักที่วัดป่าอำเภอผือ มีอาจารย์บุญมา อยู่ที่นั่น เริ่มสวดปาฏิโมกข์ ครั้งแรกที่วัดป่า อำเภอผือนั้น

ครั้นวันหลังต่อมา ก็ได้ลาอาจารย์บุญมา ออกเดินทางไปพักวัดบ้านค้อ มีอาจารย์คำมีอยู่ที่นั่น ได้พักที่วัดป่าบ้านค้อ หลายวัน ต่อมาก็ได้ลาอาจารย์คำมี เดินทางต่อไป พักที่พระบาทบัวบก ต่อมาก็ย้ายไปพักที่ถ้าพระนาผักหอก พักภาวนาอยู่ที่ นั่นหลายวัน ต่อมาก็ได้ไป พักที่บ้านคึมสะโนด มีบ้านสามหลัง ตอนในพรรษา หลวงปู่หล้า ท่านได้จำพรรษาที่นั้น เมื่อ ออกพรรษาแล้ว ท่านก็ย้ายไปอยู่ถ้ำพระนาหลวง ก็คิดจะไปกราบนมัสการ เพื่อขอฟังธรรม ข้อปฏิบัติจากท่าน ต่อมาก็ได้ลา โยมที่นั่นเดินทางไปพักที่บ้านน้ำซึม ต่อมาก้ได้ไปพักที่บ้านนาเก็น โยมบ้านนาเก็นนี้มีลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น คนหนึ่งชื่อผู้ใหญ่เหี่ยว ไปเห็นที่ไร่ที่นาดี ก็เลยสึกมีครอบครัวอยู่ที่นั่น

ก็ได้พักภาวนาอยู่ใกล้บ้านนาเก็น เขาไปทำที่พักให้ข้างทางช้าง ช้างออกจาดงมาก็มากินน้ำ สมัยนั้นสี่สิบกว่าปีมาแล้ว ช้าง เสือ กวาง ฟาน หมู ไก่ป่า อย่างนี้ชุกชุม โยมเาทำที่พักข้างทางช้าง เขาจะลองดูว่าอาตมาจะกลัวไหม บุญรักษาอาตมา ก็มีคำว่าบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ เท่านี้เป็นอารมณ์อยู่ภายในใจ แต่ปรากฏว่าช้างไม่ลงมากินน้ำ ช่วงที่อาตมาพักภาวนา อยู่ที่นั้น พักภาวนาอยู่หลายวัน ก็เลยลาโยม เดินทางไปบ้านสว่าง ที่วัดป่าบ้านสว่างนั้น มีหลวงปู่จันทร์อยู่ หลวงปู่จันทร์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น พักภาวนาอยู่กับท่านหลายวัน เลยขอให้โยมเขาพาไปหาหลวงปู่หล้า ที่ถ้ำพระนาหลวง ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำผาตัก ขอให้โยมไปส่ง เขาไม่รู้จักก็เลยไม่ได้พลหลวงปู่หล้า จึงได้กลับมาพักที่วัดป่าบ้านสว่างอีก

ต่อมาได้ลาหลวงปู่จันทร์ เดินทางผ่านบ้านปากลาง เดินทางผ่านดงปากเจียง ในดงนนี้มีช้างมาก มีช้างสีดอตัวหนึ่ง ไม่กลัวคน เห็นคนมันจะไล่ โยมเขาบอกว่า ครูบาเดินผ่านดงนี้ ให้ระวังช้าง ถ้าเห็นช้างหมู่ให้เป่ามือ มันจะแตกหนีไป ถ้าเห็นช้างสีดอ ให้หลบให้ดีมันจะไล่ เราก็มีของดีคือ พุทโธ ไม่ต้องกลัว พุทโธป้องกันภัยอันตรายทุกอย่าง เดินไปจนเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่า จึงข้ามพ้นจากดง ไปถึงบ้านหนอง บ้านนี้อยู่ฝั่งโขง ก็เดินผ่านบ้านหนองไปใกล้จะถึงบ้านหาดเบี้ย จึงพักปักกลด นอนจนถึงรุ่งเช้า บิณฑบาตบ้านหาดเบี้ย โยมใส่บาตรดีเหลือเกิน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อฉันแล้วล้างบาตร เช็ด บาตรแห้งดีแล้ว ก็เอาผ้าครอง สิ่งของเอาใส่ในบาตร เตรียมเดินทางต่อไป

จุดประสงค์จะเดินทางไปถึงเชียงใหม่ ญาติโยมใครถามก็บอกว่าจะไปเชียงใหม่ ก็เดินทางผ่านนบ้านผาแบ่นบัวโฮม ผ่านบ้านโคก มาถึงถ้ำผาปู่ มาพักที่ถ้ำผาปู่นั้นเจ็ดวัน ไปถึงวันแรก พักที่ถ้ำน้อยทางตะวันออกถ้าำผาปู่ เมืื่อเย็นลง ก็ทำวัตร สวดมนต์เสร็จก็ออกมาเดินจงกรม ได้สักพักหนึ่งก็กลับไปนั่งภาวนา ปรากฏเหมือนเสียงคนขึ้นบันไดมาหา เดินเหยียบขั้น บันไดเสียงกึกๆ ขึ้นมาถึงข้างบนพื้นถ้ำ ที่มีกระดานปูเสียงเงียบไป ไม่ปรากฏเสียงเดิน สังขารมันปรุงไปว่าผีหลอก มันจะให้ลุกออกไปดู ขนลุกซู่ซ่าไปหมด ก็เลยบอกมันว่าไม่ไปดู นั่งหลับตาภาวนาอยู่นั่นแหละ ถ้าเป็นผีมันจะกินได้ ให้มันกินเสียเลย ตายแล้วไม่ต้องไป ต้องมาให้เป็นทุกข์ นั่งภาวนาพุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนี้ จนอาการขนลุกขนชันมันระงับไป นั่งอยู่จิตก็สงบเย็นลงมา ต่อมาเมื่อออกจากภาวนาแล้ว ก็จุดเทียนส่องดูไม่เห็นมีอะไร

ครั้นรุ่งเช้า มาก็ไปบิณฑบาตบ้านน้ำภูบา เมื่อก่อนรู้สึกกันดารมาก ไปบิณฑบาตก็ได้ข้าว เกลือ พริก น้ำอ้อย ได้มาอย่าง ไรก็ฉันตามมีตามเกิด ก็สบายไม่ต้องไปสร้างภวตัณหาอยากได้อยากดี อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คราวนั้นได้ไปพักอยู่ที่ถ้ำ ผาปู่เจ็ดวัน ก็ออกเดินทางต่อไป ขอพักที่วัดเลยหลงหนึ่งคืน รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาท่านเจ้าคุณ ก็ออกเดินทางต่อไปที่วัดบ้านม่วง ท่าแพร ซึ่งมีหลวงปู่ซามา อยู่ที่นั่น พักที่วัดหลวงปู่ซามา ได้สามคืน ก็ไปลาท่าน ท่านถาม ว่าจะไปไหน บอกท่านว่าจะไปเีชียงใหม่ ลาท่านเสร็จก็ออกเดินทางผ่านบ้านภูสวรรค์ไปด่านซ้าย พักที่ด่้่านซ้ายหนึ่งคืน รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารไปลาเจ้าอาวาส ก็ออกเดินทางมุ่งไปหล่มเก่า

ขณะเดินทางจากด่านซ้ายไปหาเมืองหล่ม เกิดจับไข้สั่นหนาว เลยเข้าพักภาวนาใต้ร่มไม้ประมาณชั่วโมงกว่าอาการ ระงับลง ก็เลยออกนั่งภาวนา เดินทางต่อผ่านหล่มเก่าไปหล่มใหม่ ขอพักที่วัดหล่มใหม่หนึ่งคืน ตื่นเช้าไปบิณฑบาตได้ข้าว มานิดหน่อย อาหารอื่นไม่มี ก็เลยฉันข้าวไม่อิ่ม ก็หยุดล้างบาตร เตรียมบริขารใส่ในบาตร ก็ออกเดินทางต่อไปเพ็ชรบูรณ์ ค้างที่เพชรบูรณ์คืนหนึ่ง รุ่งเช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมบริขารลาเจ้าอาวาส แล้วเดินทางต่อถึงสามแยกไปพักที่วัดข้าง ทาง จะขึ้นเขารัง รุ่งเช้ามาไปบิณฑบาต มาฉันเสร็จแล้ว ก็เตรียมบริขาร ไปลาหลวงปู่เคลือบ ที่เป็นเจ้าอาวาส เสร็จแล้ว ก็เดินขึ้นเขารัง หยุดพักใกล้บ้านกรมทาง รุ่งเช้ามา โยมที่กรมทางนั้นใจบุญ ส่งขึ้นรถยนต์มาลงที่สะพานหิน เมื่อถึง สะพานหินแล้ว ก็เดินตามทางรถไฟขึ้นมาเรื่อยๆ ค่ำไหนก็พักใต้ร่มไม้ เช้ามาก็บิณฑบาตฉัน ฉันเสร็จล้าง เข็ดแห้งดีแล้ว ก็เตรียมบริขารเดินทางต่อมาเรื่อย ค่ำก็พักค้างคืน เช้าบิณฑบาต ฉันเสร็จก็เตรียมเดินทางต่อเรื่อยๆ ผ่านพิจิตร ผ่าน พิษณุโลก ผ่านอุตรดิตถ์ ผ่านบ้านด่าน จนถึงสถานีปางป๋วย พักที่วัดป่า สถานีบ้านปางป๋วยหลายวัน อาจารย์สวาท ซึ่งเป็น หลานชายหลวงปู่ตื้ออยู่ที่นั่น ต่อมาโยมผู้ใจบุญสถานีปางป๋วย ถวายตั๋วรถไฟมาลงลำปาง ไปขอพักที่วัดนาก่วมหนึ่งคืน รุ่งเช้าเตรียมบริขารเสร็จ ไปลาเจ้าอาวาส ก็เลยไปขึ้นรถไฟขบวนลำปางเชียงใหม่

วันนี้ขบวนรถไฟจากลำปางไปเชียงใหม่ ไม่ได้ฉันอาหารเพราะเทวดาตาดีไม่มี ก็เลยฉัน พุทโธ พุทโธ เรื่ยยๆ จนถึงสถานีเชียงใหม่ พอรถจอดที่สถานีแล้วถือเอาบริขารลงรถไฟ ก็พบกับหลวงปู่สิม ท่านจะไปลำปาง ท่านเห็นลงรถไฟ ท่านก็เดินมาถามว่า จะไปไหน ก็เลยบอกท่าน ผมจะไปวัดสันติธรรม ท่านเลยบอกเอาบริขารมานี่ ท่านไปส่งขึ้นรถสามล้อ ท่านให้เด็กของท่านจ่ายค่ารถสามล้อ ให้บอกคนรถไปส่งที่วัดสันติธรรม ก็เลยได้ไปพักอยู่วัดสันติธรรม

ตอนนั้นวัดสันติธรรมยังสร้างใหม่ กุฏิเป็นกระต๊อบมุงใบตอง โบสถ์ยังไม่ได้สร้าง ถามถึงท่านอาจารย์ พระท่านบอกว่า ไปลำปาง พักอยู่วัดสันติธรรมหลายวัน รอท่านอาจารย์กลับ ท่านก็ยังไม่กลับเลยถามอีกว่า มีตรูบาอาจารย์อยู่ที่ไหนบ้าง พระท่านก็บอกว่า มีหลวงปู่ตื้อ อยู่อำเภอแม่ริม มีหลวงปู่แหวน อยู่วัดป่าห้วยน้ำริน หลวงปู่ชอบ อยู่บ้านยางผาแด่น มีพระองค์หนึ่งสุจิต พักอยู่ทีวัดสันติธรรม พูดคุยถูกนิสัยกัน เลยชวนกันไปหาหลวงปู่ตื้อ ที่อำเภอแม่ริม เมื่อเดินทางไปถึง วัดป่าแม่ริมแล้ว ก็ไปกราบนมัสการท่าน ท่านก็ถามว่ามาจากไหน ก็บอกให้ท่านทราบและกราบนมัสการถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ขอจำพรรษากับท่าน ที่วัดป่าแม่ริม ใน พ.ศ. ๒๔๙๓ เมื่ออยู่กับท่านปรากฏว่าท่านเทศน์เก่ง แนะนำพร่ำสอนดี ในปีนั้น ท่านมักจะเทศน์เรื่อง ขันธ์ห้า เทศน์เรื่อง อายตนะสิบสอง ธาตุสิบแปด อินทรีย์ยี่สิบสอง โพชฌงค์เจ็ด มรรคแปด

เมื่อไปจำพรรษาที่บ้านแม่ตอแล้ว จนออกพรรษาก็ยังพักภาวนาอยุ่ที่นั้น ครั้นจวนจะเข้าพรรษาอีก โยมทางบ้านปางยางนาด ก็มาของนิมนต์ไปจำพรรษาที่วัดป่าปางยางนาด อาตมาก็เลยได้ลาท่านสุจิต ไปจำพรรษาที่ปางยางนาด เป็นพรรษาที่หกพอดี ได้ทราบข่าวว่า ท่านพ่อลีออกจากวัดอโศการาม สมุทรปราการ มาจำพรรษาที่บ้านยางผาแด่น ก็เลยไปกราบนมัสการท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่า หนีปลิโพธกังวล ต้องการภาวนาอย่างเต็มที่ ท่านได้ถามถึงการภาวนา ก็กราบเล่าถวาย ท่านตามความรู้ ความเห้น แล้วท่านก็แนะนำ อุบายเจริญ อานาปนสติ ให้อุบายกำหนดลม อุบายตั้งจิตไว้ อุบายกระจายลม ให้แล่นไปในจุที่ประสงค์ อุบาย กระจายลมไปทั่วร่างกาย ชี้แนะในอุบายนิมิต ที่ควรถือเอา และไม่ควรถือเอา ให้กำหนดเอานิมิตที่เกิดขึ้น ในฐานของลม ให้ระวัง นิมิต ที่มันหลอกลวง ให้เกิดความยินดี นิมิตที่ทำให้เกิดความยินดี ยินร้าย ระวังไม่ให้หลงไปตามนิมิต ให้กำหนดรู้อยู่ในฐานของลม

สำหรับอาตมาเอง อุปนิสัยในการทำฌานน้อยไป จิตเมื่อตั้งมั่นในลมแล้ว ก็มัจะเกิดความเห็นลมไม่เที่ยง นิมิตต่างๆ ที่ปรกฏ ก็เห็นว่าไม่เที่่ยง เห็นว่า สังขาร นิมิตที่หลอกลวงเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป หายไป สิ้นไป ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ด้วย แม้ลมหายใจเข้าออก ก็ไม่เที่ยง แล้วนิมิตมันจะเที่ยงมาแต่ไหน เกิดขึ้นดับไป วิปัสสนาปัญญาที่เห็นอนิจจัง ความไม่เที่ยงก็ รู้เห็นว่า สิ่งใดไม่เที่ยงนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ปัญญาก็ทวนกระแสเข้าหาใจ พิจารณาใจ สอนใจให้รู้ ลมไม่เที่ยง ร่างกายทุกส่วนก็ไม่เที่ยงเหมือนลม ปัญญาพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของลม ปัญญาก็ขยายออก พิจารณาความไม่ เที่ยง ในอาการสามสิบสอง พิจารณาอาการ ต่างๆของร่างกาย เห็นความผันแปร เห็นความไม่เที่ยงแท้แน่นอน เห็นทุกข์ในอาการต่างๆ ของร่างกาย ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บ ทุกข์จนกระทั่งตายไม่มีอะไรเป็นของเรา ในกายนี้เป็นของว่างเป็นของเปล่า เป็นของสูญจากตัวจากตน จากเราจากเขา

เมื่อพิจารณไปแล้ว ก็ทวนกระแส เ้ข้าหาใจ คือธาตุรู้ ถามจว่าใจรู้ไหม ใจเห็นไหม กายนี้มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ใจจะมา หลงเอาอะไร ใจจะมายินดี เอาร่างกายที่ไม่เที่ยง เต็มไปด้วยของปฏิกูล เต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง เต็มไปด้วย เหงื่อไคล เต็ม ไปด้วยรสอาหารแทรกซึมระคนอยู่ ต้องถ่ายเท ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย เพราะ ความผันแปร ของรสอาหาร อาหารที่กินลงไป หล่อเลี้ยงร่างกาย ไม่ใช่มีแต่คุณประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษเป็นทุกข์ก็มากมาย ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ไปต่างๆ หลายอย่าง หลายประการ จะให้มีแต่ความสุขสบาย อย่างเดียวก็หาไม่ อาหารว่าเป็นของดีๆ กลืนกินลงไป บางทีเป็นอาหารที่แสลงก็เจ็บ เกิดปวดท้องแน่น ท้อง ท้องเฟ้อ จุกเสียดในกระเพาะ ทำให้กระเพาะอักเสบ เป็นแผลในร่างกายนี้เต็มไปด้วย รสอาหาร หล่อเลี้้ยง มันก็เจ็บก็ปวด เป็นทุกข์ ทรมาน มีโรคต่างๆ เกิดขึ้น ต้องเยียวยา รักษาบรรเทา ความเจ็บปวด โรคภัยย่ำยีบีทาไล่ ไปหาความตาย

ไม่ว่าเป็นตัวเราก็เป็นเพียงสมมุติ ที่โลกเขาใช้กันอยู่ ด้านปรมัตถ์แล้วมันเป็นธาตุเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนเราเขา เกิดมาแก่ เกิด มาเจ็บ เกิดมาตาย ตายจริงๆนะ เอาอะไรก็ไม่ได้ ในร่างกายนี้มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ตัวเราที่ไหน ตัวเขาที่ไหน ตายกันหมด เกิดมาตาย เกิดมาทุกข์ ทุกข์จนตาย

เมื่อปัญญามันเห็นอย่างนั้น ปัญญาก็ทวนกระแสกลับเข้าหาใจ สอนใจให้รู้ สอนใจให้เห็นว่าใจรู้ใหม ใจเห็นไหม ใจว่ากายเป็น ของเรา ใจจะป้องกันไม่ให้กายมันตายจะได้ไหม เมื่อสิ้นวิบากขันธ์ แล้วตายจริง ไม่ใช่สมบัติของกาย กายก็ไม่ใช่สมบัติของใจ ใจ ก็เป็นธาตุ เป็นอนัตตา กายก็เป็นธาตุเป็นอนัตตา สูญว่างเปล่าจากตัวจากตน จากเรา จากเขา ไม่มีใครได้อะไร กายตายหมด ใจ มันตายไหมดูซิ ใจคือธาตุรู้ ใจว่างเปล่าจากเรา เราไม่มีกายในใจ เขาไม่มีกายในใจ สมมุติ สมมุติเขาสมมุติ ใจรู้ไหม ธาตุรู้มี ใจอันเดียว เขาสมมุติธาตุรู้ว่า เป็นใจเรา ใจเขา จริงเพียงสมมุติ จริงปรมัตถ์ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา ไม่เป็นเรา ใจรู้เท่าสมมุตินะ อย่าไปหลงกับสมมุติ อย่าไปหลงกับสังขาร เมื่อใจรู้เท่าสมมุติ หลงอวิชาดับ วิมุตติปรากฏกาย สันตินิพพาน ก็รู้ก็เห็นได ้ภายในใจ

ความรู้ความเห็นมันเป็นผลของความเพียร บำเพ็ญมรรค ให้เจริญ ทำให้มากๆ พิจารณาให้มากๆ จนมรรคผล เต็มเปี่ยม บริบูรณ์ นิพพานัง ปรมัง สุขขัง ก็รู้แจ้งเห็นจริงได้ภายในใจ

เมื่อจำพรรษาที่วัดปางยางนาด จนออกพรรษาแล้ว ก็ย้ายไปพักที่ผาเด็ง ครั้งแรกโยมเขาทำร้านให้พักอยู่ใต้ร่มไม้ กุฏิศาลายังไม่ได้ทำ เพราะศรัทธาญาติโยมก็ดูพระว่าจะอยู่ไหม หรือจะไปที่อื่นอีก สถานที่นั้นเป็นวัดร้าง มีก้อนดินอิฐ ที่เขาสร้างโบสถ์พังอยู่ ในที่นั้น แล้วก็มีผีดุเสียด้วย คนจะไปตัดไม้ ไปเอาฟืนไม้แห้งอยู่แถวนั้น ผีก็ตามไปทำให้เจ็บไ่ข้ได้ป่วย ญาติโยมเขาจึงกลัว ไม่กล้าไปตัดไม้

เมื่อไปพักอยู่ที่นั่น วันหนึ่งนั่งภาวนาเห็นไปทางทิศตะวันตก ปรากฏว่ามีคนมาจับที่แขนซุก ไปข้างหน้า เลยลืมตาขึ้นดู ก็ไม่เห็นมีอะไร ผู้คนก็ไม่มี สัตว์ต่างๆ ก็ไม่มี เสียงคนเดินก็ไม่ได้ยิน ก็เลยหลับตา นั่งภาวนาต่อไปอีก ก็ปรากฏนิมิตเห็นหลวงพ่อองค์ หนึ่งยืนอยู่ไกลๆ ก็เลยนึกว่า หลวงพ่อนี้เอง ที่อยู่ตาย แล้วก็ไม่ไปเกิดในทางสุคติ ตายแล้วไปเกิดเป้นผีอยู่ที่วัด คงจะติดสมบัติอะไร อยู่ที่โบสถ์นั่นแหละ ก็เลยแผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ ว่าหลวงพ่อจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด แต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏนิมิตเห็นหลวงพ่ออีก

ครั้นอยู่ต่อมา ก็ปรากฏที่จะทำศาลาที่โบสถ์นั้น มีไม้แดงใหญ่ เกิดอยู่ข้างโบสถ์ และมีต้นไม้อย่างอื่นเกิดขึ้นมาก เพราะโยมเขา ไม่กล้าไปตัดเพราะกลัวผี อาตมาได้บอกให้โยมเขาไปตัดไปปรับพื้นที่ เพื่อจะสร้างศาลา เขาก็บอกว่า หมู่ข้าเจ้ากลัวผีไปหักคอ เขาไม่กล้าตัด ปรารภว่าจะไปทำศาลาที่อื่น อาตมาก็บอกว่า ตัดออกเถิด แผ้วถางปรับที่สร้างศาลาไม่เป็นไร หลวงพ่ออยุ่ที่นี่ ตุ๊เจ้าแผ่เมตตาไปให้เปิ้น เปิ้นไปสู่สุคติแล้ว อาตมารับรองไม่ให้เป็นอันตรายใดๆ เขาจึงพากันตัดไม้แดงใหญ่ออก ปราบพื้นที่ จนเสร็จแล้ว ก็ได้สร้างศาลาขึ้นที่นั่น เป็นศาลามุงหญ้า ใช้ฟากปูกับพื้นดิน เมื่อทำเสร็จแล้วก็ถวายทาน มีเสื่อหมอนและเครื่องใช้ต่างๆ ต่อมาศาลาหลังนั้นก็ได้ใช้เป็นที่นั่งภาวนา ฟังเทศน์ ทำวัตรสวดมนต์ และทำทานต่างๆ

ในระยะนั้น ท่านสุจิตเทศน์ดี แนะนำสั่งสอนญาติโยมดี เขาก็มีความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มขึ้น เช่นวันพระก็พากันรักษาอุโบสถ ศีลและฟังธรรม นอนค้างคืนที่วัด วัดผาเด็งนี้อยู่หลังเขา อากาศดีอยุ่สบาย ภาวนาดี บางวันเมื่อทำวัตรแล้ว สนทนาธรรมกับ ท่านสุจิต ท่านสุจิตนับแต่ได้อุบายภาวนาที่ท่านอาจารย์ลี แนะนำให้ ก็ปรากฏว่า มีปฏิภาณโวหารดี พูดคุยเรื่องภาวนาของตัวเอง ว่า รู้อย่างนั้นๆ เห็นอย่างนั้น มีนิมิตอย่างนั้นๆ พูดคุยว่า ต้องการเห็นอะไร ต้องการรู้อะไร ก็รู้ก็เห็นได้หมด อาตมาฟังไปก็รู้ได้ว่า ท่า่นสุจิตนี้สำคัญตนเสียแล้ว ก็เลยนึกจะทดลองท่านดู ว่าจะรู้ได้หมด เห็นได้หมดจริงๆไหม อาตมาก็เลยพูดขึ้นว่า ระวังนะ ว่ารู้อะ ไร เห็นอะไรได้ ระวังไปเห็นแหนบเขาแล้วมันจะไปติด พออาตมาพูดอย่างนี้ ท่านก็โกรธพลุ่งขึ้นมาเลยว่า อาตมามันโง่จะรู้จะเห็น อะไร พูดดูถูกคนอื่น โกรธลุกไปกุฏิไปเก็บเอาบรขาร เลยไปพักอยู่วัดบ้านแม่ตอโน้น

อาตมาทดลองดูกิเลสว่า จะหมดจริงไหม สำเร็จมรรคผล นิพพานจริงไหม ไม่หมดความโกรธ ใจตัวเองโกรธ ก็ไม่เห็นละ ไม่ได้ โกรธเกิดจากใจตัวเองก็ไม่รู้ เพราะไปหลงกับนิมิตที่รู้ที่เห็น การพิจารณานิมิต ที่รู้ที่เห็นลงสู่ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ค่อยมี มีแต่พูดเรื่องนิมิต เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ค่อยมี นี่แหละพวกฤาษีที่ทำญานได้แก่กล้า ได้สมาบัติ แปด มีอภิญญา แสดงฤทธิ์ต่างๆ เหาะเหิน เดินอากาศ ได้เหมือน ริตจฤาษี พอไปเห็นแหนบอัครมเหสีเข้า ฌานเสื่อมฤทธิ์ เหาะเหิน เดินอากาศไม่ได้ เมื่อไปกินอาหารแล้วก็ขอฉันขนมแหนบอีก จนอำมาตย์เห็น รู้เรื่องก็ส่งข่าว ไปหาพระราชาที่ยกกองทัพไปปราบ โจรอยู่ชายแดน เมื่อพระราชารู้ก็ยังไม่ปลงใจเชื่อทีเดียว คิดว่าเรากลับไป จะต้องไปถามพระดาบส ดูก่อนว่าเท็จจริงอย่างไร แสดง ให้เห็นว่า พระราชาไม่เป็นคนเชื่อง่ายงมงาย ต้องใคร่ครวญเหตุผลให้ดีก่อน ถ้าเป็นคนที่เชื่อง่าย งมงาย ก็จะโกรธอาจสั่ง ทหารให้ไปฆ่าพระดาบสก็เป็นได้ นี่เสียงได้ยินเขาเล่า ไม่เห็นด้วยตาตนเอง จึงยังไม่เชื่อทีเดียว

เมื่อพระราชาปราบปรามโจรผู้ร้ายสงบเรียบร้อย ก็ยกกองทัพกลับ เมื่อกลับมาก็ไปหาพระดาบส ในสวนอุทยาน ไปนั่งลงกราบ ไหว้พระดาบส เหมือนเดิม พระดาบสก็ไต่ถามเรื่องปราบโจรผู้ร้ายได้ชัยชนะกลับมา พระราชาก็เล่าถวาย แล้วก็ได้ถามพระดาบส ว่า พระดาบสได้ส้องเสพกามารมณ์กับพระอัครมเหสี จริงหรือ พระดาบสก็ได้รรับตามความเป็นจริง ต่อมาพระดาบสก็ได้ขอให้พระ ราชาอดโทษ พระราชาท่านก็อดโทษให้ และขอนิมนต์อยุ่ในสวนอุทยานค่อไป และนิมนต์ให้ไปรับบิณฑบาตในพระราชวัง ตามเคย พระดาบสก็ระลึกถึงฌานที่เคยทำ ฌานก็เกิดขึ้นอีก พระดาบสก็ขอลาพระราชาเหาะไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์ จนถึงทำิ กาลกิรยาตาย ก็ไปเกิดในพรหมโลก

นี่แหละผู้ได้ฌานโลกีย์ เสื่อมได้ เจริญได้ ถ้าผู้ได้ฌานพิจารณาองค์ฌานลงสู่วิปัสนา ทำลายตัณหา ความยินดี ให้สิ้นไป บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ฌานก็เป็นโลกุตรฌาน ไม่เสื่อมเพราะใจสิ้นจาก อาสวกิเลส ตัณหา ใจที่ยังไม่สิ้นจากตัณหา ความยินดี แม้แต่ได้ฌาน ความยินดี ติดอยู่ในฌาน เหมือนศิลาทับหญ้า เมื่อได้ช่องทาง ก็เกิดตัณหา ความยินดีอีกต่อไป

ใจที่มีกิเลสนี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านจึงเตือนพระสาวกว่า " เธออย่าได้ถึงความวางใจว่า เราได้ฌานเราได้อภิญญา เพราะ มันเสื่อมได้ รีบทำให้แจ้งในโลกุตรธรรมเสีย ละอาสวะกิเลสออกจากใจ ให้หมดสิ้นไป กิเลสจะสิ้นไป ไม่เหลือด้วยกำลังของ วิปัสสนาปัญญา " บางคนกิเลสยังไม่สิ้น ก็เกิดความสำคัญตนว่า ตนได้เห็น ตนมีตนเป็น ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่า บรรลุพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจังทรงแสดง ปัจจเวกขญาณ เอาไว้ว่า ให้พิจารณามรรคผลนิพพาน ให้พิจารณาพระนิพพาน พิจารณากิเลสที่ละเสีย พิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ภายในใจ ถ้าเหลืออยู่ก็ไม่หมด ถ้าหมดไปก็ไม่เหลือ

ท่านสุจิตเมื่อหนีไปแล้ว ก็กลับมาอีก มาจำพรรษาที่วัดป่าบ้านผาเด็ง จนออกพรรษา ท่านปรารภว่า จะกลับบ้าน เพื่อไปโปรด พ่อแม่ และพี่น้องทางบ้าน อาตมาก็อยากจะกลับเหมือนกัน เพราะระลึกถึงพระคุณของแม่ จึงได้ขอลาโยมบ้านผาเด็ง พ่ออ้ายก็ เลยพูดว่า ขอนิมนต์ท่านสุจิตอยู่ก่อน ท่านก็ตกลงอยู่ วันหลังพ่ออ้ายไปส่งขค้นรถไฟที่สถานีเชียงใหม่ ซื้อตั๋วรถไฟถวาย อาตมาก็กลับบ้านก่อน ภายหลังก็ทราบว่า ท่านสุจิตก็กลับบ้านไปจำพรรษา ที่้บ้านท่าน จนออกพรรษา ก็ได้ทราบข่าวว่า ท่านสึก ไปมีครอบครัว เขาโปรด ไม่ใช่เราโปรดเขา นี่แหละกิเลส ที่มีอยู่ภายในใจนี้ ใจละไม่สิ้นถูกกิเลสทำลายมรรคผล

ส่วนอาตมาเอง เมื่อกลับไปบ้านเกิด ก้ได้ไปเยี่ยมมารดา ท่านก็บวชเป็นชีไปแล้ว อยู่วัดป่าเมืองพล ต่อมาก็ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อ และได้ชวนท่านไปเที่ยววิเวกทางบ้านซับขี้นาค และไปเที่ยวถึงหลังภูโค้งที่หญ้าดีอยู่ ก็ได้พักภาวนาหลายวัน หลวงพ่อปรารภว่า ท่านคิดถึงบ้าน ท่านกลับ อาตมากับท่านก็ลงจากหลังภูโค้ง เิดินทางมาถึงบ้านซับ ญาติโยมก็นิมนต์ให้อยู่จำพรรษา เขานิมนต์ให้ ไปพักในสวนเขา เป็นเกาะอยู่กลางมีน้ำล้อมรอบ เขาก็ได้สร้างศาลาถวาย และสร้างกุฏิถวายสามหลัง อาตมาตกลงใจว่าจะอยู่จำ พรรษา

ครั้นอยู่ต่อมา มีคนไปขว้างด้วยกัอนอิฐตอนกลางคืน มีก้อนอิฐตกอยู่ที่ลานวัดมาก เขาขว้างไม่ถูกคนหรอก ถูกกระต๊อบ ถูกต้น มะม่วง ไม่ถูกคน เขาก็พูดกันว่า นี่เป็นก้อนอิฐที่วัดบ้าน ด้อนอิฐที่เหลือจาการสร้างโบสถ์ คงจะเป็นพระเณร ที่วัดบ้านนั่นแหละ เขาก็ไปสืบดูรู้ว่าเป็นพระเณรที่วัดบ้านจริงๆ พวกญาติโยมเขาโกรธ เขาจะไปยิง พระเณรที่วัดบ้าน ปีนั้นพากันหนีไปจำพรรษาที่อื่น หมด เพราะโยมเขาจะไปยิง อาตมาก็ห้ามโยมว่า อย่าไปยิงเขาเลย มันบาป เขาทำบาปมันก็จะได้รับผลเอง พวกเราอย่าไปก่อกรรม ทำเวรกับเขาเลย โยมเขาก็หยุด หลวงพ่อท่านใจไม่ดี ชวนอาตมากลับ ก็นึกสงสารโยมที่มีศรัทธา สร้างศาลาถวาย อย่างน้อยก็ อยู่จำพรรษาให้สักหนึ่งพรรษา ก็ยังดี อาตมาก็เลยอยุ่จำพรรษา ส่วนหลวงพ่อท่าน ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านแฮด ใกล้บ้านของท่าน

ต่อมาญาติโยมก็ได้สร้างกุฏิถวายอีกสามหลัง อาตมาก็เลยจำพรรษาที่วัดป่าบ้านซับขี้นาค นั้นเองหนึ่งพรรษา จนออกพรรษา แล้ว ได้ไปเมืองพล โยมแม่่บวชชีอยู่ที่วัดป่าเมืองพล ก็เลยชวนโยมแม่ไปเที่ยวเมืองเหนือ ได้ไปภาวนาอยู่ถ้ำโล่ง ใกล้ๆถ้าแจ้งนั้นเอง

เมื่อจะเข้าพรรษา ได้พาโยมแม่มาที่วัดสำราญนิวาส อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง จะมาหาหยูกยา อาหารบางอย่าง ไปฉัน เวลากลับไปถ้ำ เมื่อพักอยู่ที่วัดสำราญนิวาส มีคนๆหนึ่ง ชื่อนายเล็ก วันนั้นตอนเช้า เขาเช้าไปบ้านที่ตลาดเกาะคา ไปดื่มเหล้าจนเมา แล้วเขาก็กลับมาภายในวัด เอามีดโต้เหน็บเอวมาด้วย นายเล็กนี้ผูกอาฆาตท่านอาจารย์หนู เขาจะมาฆ่าท่านอาจารย์ เมื่อเข้ามาภาย ในวัด เขาเดินไปที่กุฏิท่านอาจายร์หนู ท่านอาจารย์หนู เมืื่อฉันเช้าแล้วท่านก็กลับกุฎิ นายเล็กไปยืนอยุ่ที่บันได เมื่อไปถึงตัว ก็มีสาม เณรองค์หนึ่งเดินมา นายเล็กเห็นสามเณร ก็ถอดมืดออกมาไล่ฟัน มีแม่ชีสมบูรณ์ ซึ่งเป็นแม่นายเล็กอยู่ที่นั่น แม่ชีสมบูรณ์นี่เองถือ เอาแก้วยาไปให้โยมแม่ของอาตมา เอาแก้วยา ไปให้นายเล็ก โยมแม่ถือแก้วยาเดินไปหา พูดถามนายเล็กว่า พ่อเล็กเป็นลมหรือ เอ้ากิน ยานี่เสียจะได้หาย ยื่นแก้วยาไปให้นายเล็กก็เอามีดโต้ฟันแขน โยมแม่ทิ้งแก้วยาหนี นายเล็กก็วิ่งไล่ ไปทันกันที่บันไดกุฏิ เอามีดโต้ ฟันเข้าที่คอฟุบคาบันได ยายถมวิ่งออกมาเพื่อจะช่วย นายเล็กเขาก็ฟันยายถมอีก แต่มีดเป็นทางแป ไม่ใช่ทางคม แม่ชีถมก็วิ่งเข้า ห้องปิดประตูใส่กลอน นายเล็กเขาก็เข้าไม่ได้ เขากลับลงมาเดินเที่ยวหาพระเณร ภายในวัด

พอดีอาตมาได้ยินโยมแม่เรียกให้ช่วย ก็ลงจากกุฏิไป นายเล็กเห็นอาตมาก็เดินเข้ามาหา อาตมาหยุดยืนอยู่ นายเล็กเขาพูดว่า อาจารย์หนูเอายาเบื่อไปให้เขากิน เขาโกรธผูกพยาบาทว่าคนอีสาน จะฆ่าให้หมด ทั้งพระทั้งเณร ทั้งเถร ทั้งชี พระที่อยุู่ในวัดได้ หนีไปในป่าช้าข้างนอกวัดก็มี เข้าอยู่ในกุฏิ ปิดประตูใส่กลอนก็มี บางองค์ก็ไปที่เกาะคา บอกให้คนรู้ว่า นายเล็กเมาเหล้าอาละวาด ได้ฟันแม่ชีตายไปเสียคนหนึ่งแล้ว พวกโยมเขาก็ได้พากันมา ขณะที่นายเล็กเดินเข้ามาหาอาตมา เขาพูดว่า ผมฆ่าแม่อาจารย์ตาย แล้ว เขาเดินเข้ามาหา เขาจะฟันอาตมาอีก อาตมาก็เตรียมพร้อม เขาเดินเข้ามา หยุดอยู่ตรงหน้าห่างไปเล็กน้อย ถ้าเขาเดินเข้ามา จะฟันจริง ก็คงได้ต่อสู้กัน เขามีมีด อาตมามีมือ ถ้าเอาจริง ไม่นายเล็กหรืออาตมาจะตายก็ไม่รู้ ขณะนั้นใจนึกได้ในกรรม ว่า กรรม ชัวมันได้รับผลชั่วนะ อย่าทำเลย อดทน จะไปช่วยโยมแม่ก็ไม่ทัน เพราะกุฏิอยู่ไกลกัน นายเล็กฟันตายเสียแล้ว

ขณะที่ใจนึกถึงกรรมชั่วอันเป็นบาปอกุศล นายเล็กก็เดินไปเที่ยวหาพระเณรตามกุฏิอีก อาตมาก้กลับไปกุฏิที่อาตมาอยู่ ปิดประ ตูใส่กลอน นายเล็กก็เดินเที่ยวหาพระเณร ก็ขึ้นไปที่กุฏิอาตมา ไปดันประตูจะเข้าไปฆ่าอาตมาอีก อาตมาก็เตือนตนว่า กรรมชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า กรรมชั่วจะตามเผาผลาญในภายหลัง อดใจไว้ได้ นายเล็กเมื่อเขาดันประตูกลอนไม่หลุด เขาก็ลงไปเดินหาพระ เณรในวัดอีก เดินไปทางกุฏิแม่ชีอีก พอดีพวกโยมในบ้านเขาก็มาถึง เขาช่วยกันจับมัดมือได้ เขาก็ซ้อมทั้งมือทั้งตีน เขาก็เลยจับไป ส่งตำรวจส่งต่อเข้าห้องขัง เมื่อเขาจับนายเล็กไปแล้ว อาตมาก็ลงจากกุฏิมาดูแม่ นายเล็กฟันคอขณะขึ้นบันไดตายฟุบอยุ่ที่บันได มา เห็นก็สลดใจ ต่อมาพวกโยมเขาก็เอาไปนอนที่นอกชาน ช่วยจัดหาโลงมาใส่ศพ อาบน้ำศพ เปลี่ยนผ้าให้แล้ว ก็เอาใส่ในโลง วันหลัง ก็ได้เอาไปเผาที่เมรุเผาศพวัดสำราญนวาสนั่นเอง

ตอนแม่ตายไปได้่ส่งข่าวไปถึงพี่น้องลูกหลานของท่านทางเมืองพล พี่น้องลูกหลานของท่านทางเมืองพลใจดำจริงๆ พี่สาว ของอาตมาก็อยู่ที่เมืองพล ไม่มีพี่น้องลูกหลานคนไหนมาทำฌาปนกิจศพโยมแม่เลย มีแต่ชาวตลาดอำเภอเกาะคามาช่วย กตัญญูกต เวทีของพี่น้องไม่มีเลยสักคนเดียว กรรมจริงๆ เฉพาะพี่สาวนะ แม่ตายแท้ๆ จะมาทำบุญอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แม่ มาเผาศพ แม่เขา ก็ไม่มา มาไม่ได้เพราะกตัญญูกตเวทีไม่มีในหัวใจของเขา สลดสังเวชใจจริงๆ

ในปีนั้นอาตมาก็ได้จำพรรษาที่วัดสำราญนิวาสนั่นเอง มีท่านอาจารย์หนู เป็นหัวหน้า เมื่อออกพรรษาแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัด ป่าบ้านหนองหวีสองปี จำพรรษาที่วัดรัตนวนาราม พะเยาสองปี กลับไปอีสานอีก ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดชัยวัน ขอนแก่น ก็ ได้ปรนนิบัติหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นโรคไส้เลื่อน ปีที่สอง นั้นโรคมันกำเริบมากมีอาการเจ็บ ทุกขเวทนาแรงกล้า ยาที่กินอยู่ก็ใช้ ไม่ได้ผล เมื่ออาตมาได้เห็นอย่างนี้ก็สอนให้ท่านละ ปล่อยวาง ใจอย่าึยึดมั่นถือมั่น นี่แหละร่างกาย เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย ไม่ มีใครล่วงพ้นไปได้ จะต้องตายกันทุกคน ไม่ตายก่อนก็ตายหลัง ใจอย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา เป็นของๆเรา เมื่ออาตมาเทศน ์สอนไปอาการของทุกขเวทนาผ่อนลง ท่านพูดว่า พ่อปล่อยวางหมดแล้ว ไม่ยึดถืออะไรๆ ต่อมาท่านก็สิ้นลมหายใจตาย ก็ได้ทำ ฌาปน กิจที่วัดชัยวันนั้นเอง ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน

เมื่อเสร็จดีแล้ว ก็มีพระองค์หนึ่ง มานิมนต์ไปจำพรรษา ที่วัดเขาตานก จังหวัดจันทบุรี ก็เลยได้ไปลาท่านพระครูสังและหมู่คณะ ไปจังหวัดจันทบุรี ไปวัดเขาตานก ก็เลยได้อยุ่จำพรรษา ที่วัดเขาตานก นั้นเป็นเวลาถึงห้านพรรษา ระหว่างที่ไปอยู่วัดเขาตานก เป็นระยะพักฟื้น หมอเขาบอกว่า ไม่ให้ทำงานหนัก เพราะได้ผ่าตัดกระเพาะเป็นแผล จึงเป็นโอกาสดีได้ค้นคว้าพระไตรปิฏก แบ่งเวลาดูหนังสือบ้าง ภาวนาบ้าง ทำกิจวัตรไหว้พระสวดมนต์บ้าง เทศน์สั่งสอนพระเณรบ้าง เทศน์สอนโยมบ้าง และสั่งสอนอุบาย ฝึกใจให้ทำสมาธิ แนะนำอุบายเจริญวิปัสนา เรื่องปัญญาบ้าง

เมื่อไปอยู่จำพรรษาที่วัดเขาตานกแล้วก็นึกถึงเมืองเหนืออีก นึกถึงป่าซาง นึกถึงเ่ชียงใหม่ นึกถึงสถานที่เคยไปบำเพ็ญภาวนา ก็เลยลาโยมบ้านเขาตานก ขึ้นมาทางลำปาง ได้ไปจำพรรษาที่พะเยาบ้าง ต่อมาก็ได้ไปเชียงใหม่อีก ไปจำพรรษาที่ถ้ำผาผึ้ง บ้าน ถ้ำผาผึ้ง ตำบลหนองบัว กิ่งอำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ระยะเวลาที่ไปอยู่ถ้ำผาผึ้ง ก็ได้ไปจำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง กับ หลวงปู่แหวน หนึ่งพรรษา แล้วก็กลับไปอยู่ถ้ำผาผึ้งจนถึงปี พ.ศ.๒๕๓๒

Product tags
  • วัดถ้ำผาผึ้ง (1)
Information
  • สวนพุทธธรรม
  • ติดต่อเรา
Customer service
    Selected offers
      My account
          Copyright © 2023 สวนพุทธธรรม ปัญญจิตตธัมโม. All rights reserved.